ผู้คน ส่วนใหญ่มักจะคิดว่า อิสลามสอนในเรื่องของความรุนแรงโดยที่พวกเขายังไม่เคยได้สัมผัสกับอิสลามโดยตรง นอกจากตีความเอาจากภาพของสงครามหรือการพลีชีพของชาวปาเลสไตน์ ที่กำลังต่อสู้ กับยิว(ลัทธิไซออนนิสต์) ในอิสราเอล
เมื่อเรากล่าวถึงชาวยิว จะต้องแยกแยะระหว่าง ยิวชาวคำภีร์ กับ ยิว ขบวนการไซออนนิสต์ เพราะในระหว่าง ชนชาติ อิสรออีล มีทั้งที่ศรัทธา ในพระเจ้าองค์ เดียวและกลุ่มชนที่ ปฎิเสธในพระเจ้า (ร่วมก่อตั้งขบวนการไซออนนิสต์ )
เหตุที่พวกเขาเข้าใจอย่างนั้น เนื่องจากไม่ได้หันกลับไปมองต้นเหตุแห่งประวัติศาสตร์ และไม่เคยเข้าใจ
“สันดาร” ที่แท้ของยิวว่าเป็นอย่างไร ? และจะไม่มีใครจะเข้าใจยิวได้ ไม่ว่าจะเป็นมุสลิม หากไม่ได้ศึกษาจากอัล-กุรอานอย่างถ่องแท้
ดังนั้น เราลองทบทวนพฤติกรรมของพวกเขาเป็นข้อ ๆ ดังต่อไปนี้
1. ชอบดูถูกคนอื่น
“และชาวญะฮูด กล่าวว่า พวกนะศอรอนั้นไม่มีอะไร” คำว่า ไม่มีอะไรนั้น ถือว่า เป็นการหมิ่นประมาท และเหยียดหยามกันอย่างสิ้นเชิง โดยพวกเขาต้องการสลัด
พวกคริสต์ให้พ้นไปจากแนวทางของพวกเขา ทั้ง ๆ ที่ศาสนาคริสต์นั้นต่อเนื่องจากศาสนายูดาย นอกจากพยายามข่มชาวคริสต์เสมือนพระเจ้าไม่ยอมรับเป็นประชากรของพระองค์ ในกรณีนี้ชาวคริสต์ก็ได้โต้ตอบว่า พวกยิวก็ไม่มีอะไร? ไม่มีอะไรพิเศษกว่าพวกตน พวกเขาทั้งสองฝ่ายที่กล่าวหากัน ก็ได้อ่านคัมภีร์เหมือนกัน ชาวยิวอ่านเตาร๊อต ก็รู้ว่ามีนบีอีซามาต่อช่วง ชาวคริสต์ก็ได้อ่านอินญีล และรู้ว่าคัมภีร์เตาร๊อตถูกประทานแก่นบีมูซาที่พวกเขาต้องศรัทธา
ความขัดแย้งนี้จะถูกตัดสินในวันกียะมัต แน่นอนผลที่จะออกมาก็คือ ความปราชัยของทั้งคู่กรณี เพราะศาสนาที่ถูกส่งมานั้น ไม่ใช่มีไว้ประณามกัน แต่มีไว้เพื่อเตือนกันให้ทำความดีและละเว้นความชั่ว ทั้งยิว และคริสต์มีความเพ้อฝันที่ไม่แตกต่างกัน และมีความพองตัวที่เหมือนกัน ดังในกรณีที่อ้างว่าพวกเขาคือ
ลูกของอัลลอฮ์ และเป็นสุดที่รักของพระองค์ ดังปรากฎในอัล-มาอิดะฮ์ อายะห์ที่ 18 ความว่า
“ชาวยะฮูด และนะศอรอได้กล่าวว่า เราเป็นลูกของอัลลอฮ์ และเป็นสุดที่รักของพระองค์”
ในเรื่องนี้อัล-กุรอานได้ตั้งคำถามกับพวกเขาว่า ถ้าคำอ้างนั้นจริง ทำไมพวกเจ้าถึงถูกลงโทษจากบาปที่พวกเจ้าทำไว้? แท้จริงพวกเจ้าก็คือ มนุษย์ธรรมดานี่เอง
ก่อนที่อิสลามจะอุบัติขึ้นในโลกนี้ คนทั้งสองพวกนี้ห่ำหั่นกันมาตลอด เพราะในยุโรปมีเพียงสองศาสนานี้เท่านั้นที่ครองความยิ่งใหญ่ แต่พออิสลามปรากฎตัวขึ้นในแหลมอาหรับ คนสองพวกนี้ได้กลายเป็นมิตรกันเพื่อทำลายล้างอิสลามนั่นก็คืออิสลาม คือศัตรูเป้าหมายโดยใช้กลยุทธ์ทุกรูปแบบ ที่จะทำให้อิสลามหมดไปจากหน้าโลกนี้ ดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า
“ชาวยิวและชาวคริสต์ จะยังไม่พอใจกับเจ้า (มูฮัมมัด, มุสลิม) จนกว่าที่จะตามลัทธิของพวกเขา” (2:120)
ณ วันนี้เราได้เห็นแผนการณ์ร้ายของคนทั้งสองจำพวก ที่จับมือกันใช้กลวิธีทุกรูปแบบที่จะขจัดอิสลามโดย…….แฟชั่น, ความฟุ้งเฟ้อ, ความสำส่อนทางเพศ และการใช็กำลังอำนาจเข้าครอบครองด้วย การชูคำว่า “ประชาธิปไตย”
ตัวอย่างในเรื่องนี้ การโจมตรีอิรัก เพราะคิดว่าจะเป็นอันตรายต่ออิสรอเอล เมื่อเข้าไปแล้วมีภาระกิจในการเปลี่ยนแปลง 3 ประการ คือ วิถีชีวิตจากความมักน้อย เป็นมักมาก ฟุ้งเฟ้อ, รัฐบาลที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเผด็จการ ไปเป็นประชาธิปไตยนายทุน และการศึกษาที่ล้มกรอบโดยคุณธรรม ไปเป็นการศึกษาวัตถุนิยม
ในเรื่องนี้อัลลอฮ์จึงได้ทรงเน้นกับบรรดาผู้ศรัทธาว่า อย่าได้เอาคน 2 จำพวกมาเป็นมิตรสนิท เพราะพวกเขาเป็นได้แค่ “ศัตรู” ถาวร แต่อาหรับทำตัวเหมือนคนอ่านอัล-กุรอานไม่เข้าใจ!!!