ในบรรดาชนชาติต่างๆที่มีอยู่บนโลกนี้ คงไม่มีชนชาติและประเทศใดที่เคียดแค้นและชิงชังประชาชาติอิสลามมากยิ่งไปกว่า พวกยะฮูดี/ยิว จากความเคียดแค้นและชิงชังนี้เอง ได้นำไปสู่การจัดวาระและแผนการอันซ่อนเร้นสำหรับต่อสู้กับอิสลามและโลกมุสลิม โดยที่พวกเขาพยายามดำเนินแผนการด้วยเล่ห์เพทุบายที่พวกเขาถนัด นั่นก็คือ การชักใยอยู่เบื้องหลังหรือกำกับอยู่หลังฉาก
เราจะเห็นได้ว่า เบื้องหลัง เหตุการณ์ร้ายๆที่เกิดขึ้นในโลกมุสลิมหรือวิกฤตการณ์ต่างๆในโลกนั้น ขบวนการยิวไซออนิสต์สากลมักจะอยู่เบื้องหลังและเกี่ยวข้องเสมอ
ต่อไปนี้ เป็นโศกนาฏกรรมส่วนหนึ่งที่พวกยิวไซออนิสต์ ได้ก่อไว้และดำเนินการมาเป็นระยะๆ ต่อโลกมุสลิม
1.การสถาปนารัฐอิสราเอล
ในปี ค.ศ. 1948 /ฮ.ศ.1367 ขบวนการไซออนิสต์สากลได้บรรลุเป้าหมายสำคัญของพวกเขา โดยมีบรรดาประเทศมหาอำนาจของโลกได้ร่วมสมคบกัน แอบให้การสนับสนุนอย่างลับๆต่อความพยายามในการสถาปนารัฐยะฮูดี/ยิวขึ้นในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของโลกอิสลาม โดยมีเป้าหมายซ่อนเร้น นั่นก็คือ เพื่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในโลกอิสลาม รวมทั้งเพื่อขับไล่ชาวมุสลิมนับล้านให้อพยพออกไปจากดินแดนของพวกเขา ,พยายามทำลายอารยธรรมอิสลามในดินแดนปาเลสไตน์ แล้วนำวัฒนธรรมฮิบรูมาแทนที่ แม้กระทั่งองค์กรอาหรับบางองค์กร รวมทั้งบรรดาผู้นำของประเทศอาหรับทั้งหลาย ซึ่งส่วนใหญ่ถูกพวกตะวันตกล้างสมอง ต่างก็ได้ร่วมสมคบคิดกับตะวันตกตามแผนการสถาปนารัฐอิสราเอลในครั้งนี้ และร่วมกันทรยศและทำลายดินแดนปาเลสไตน์ กลุ่มองค์กรอาหรับและบรรดาผู้นำเหล่านี้ไม่ได้มีความผูกพันกับอิสลามแม้แต่น้อย ผลพวงจากแผนการร้ายเหล่านั้น ก็คือ ความพ่ายแพ้ของโลกมุสลิมในปี ค.ศ.1948/ฮ.ศ.1368 นั่นเอง
พวกยิวได้บรรลุแล้วซึ่งเป้าหมายที่ ธีโอดอร์ เฮิร์ทเซล ได้กำหนดไว้เมื่อปี ค.ศ. 1890/ ฮ.ศ. 1313 อันประกอบไปด้วยจุดมุ่งหมายสำคัญ 3 ประการคือ
(1) ให้มีดินแดน/ประเทศของชาวยะฮูดี/ยิวในเขตปาเลสไตน์ อย่างมีระบบและแผ่ขยายอย่างต่อเนื่อง
(2) ได้รับการรับรองสิทธิโดยชอบธรรมจากประชาคมระหว่างประเทศ ในการปล้น ยึดครองและรุกรานดินแดนปาเลสไตน์
(3) จัดให้มีกลุ่ม องค์กร และขบวนการต่างๆที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความเป็นเอกภาพในหมู่ชาวยะฮูดี/ยิว
2. ประเทศมหาอำนาจให้การรับรองประเทศอิสราเอล
วันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 1948 นาย เบน กูเรียน ได้ประกาศสถาปนาประเทศอิสราเอลเป็นประเทศเอกราช หลังจากนั้นประเทศมหาอำนาจทั้งหลายต่างหลั่งไหลและรีบเร่งให้การสนับสนุน โดยการริเริ่มจากประเทศสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตรัสเซียเป็นประเทศแรกๆ เนื่องจากว่า การจัดตั้งรัฐอิสราเอลนั้น เป็นการบรรลุถึงเป้าหมายร่วมกันของประเทศมหาอำนาจต่างๆเหนือภูมิภาคตะวันออกกลางและโลกอิสลาม และเป็นการสร้างภัยคุกคามต่ออิสลามและโลกอิสลามโดยตรง หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เป็นการสลายพลังอำนาจของโลกอิสลามนั่นเอง
3. อิสราเอล : ภัยคุกคามอันถาวรต่อเนื่องสำหรับโลกอิสลาม
ตลอดระยะเวลานับตั้งแต่ 50 กว่าปีที่ผ่านมา ตราบจนกระทั่งทุกวันนี้ อิสราเอลได้ทำการท้าทายและคุกคามโลกอิสลาม ในด้านการทหารและความอหังการได้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเหตุการณ์ในปี ค.ศ 1967 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อิสราเอลเริ่มมีสถานะที่ได้เปรียบและถือไพ่ที่เหนือกว่าในการสู้รบกับประเทศอาหรับ
4. ข้อตกลงแคมป์เดวิด : ภัยคุกคามอันยิ่งใหญ่ต่อโลกอิสลาม
พร้อมๆกับกระแสความคิดในการเจรจาสันติภาพ การยอมรับสภาพด้วยการยอมทนกลืนความขมขื่นจากความพ่ายแพ้ รวมทั้งจากความอ่อนแอของประชาคมมุสลิมและอาหรับ ตลอดจนความว่างเปล่าหรือการถูกอากีดะห์ที่ไขว้เขวและบิดเบือนมาบดบังและชักนำ ความแตกแยกในหมู่ประเทศอาหรับและโลกอิสลาม การยอมให้อำนาจการเมืองภายนอกและระหว่างประเทศมาแทรกแซงกิจการภายในของโลกมุสิลม มันก็ได้ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมที่เลวร้ายต่ออิสลามและโลกมุสลิม ซึ่งแม้แต่อิสราเอลก็ไม่เคยคิดฝันมาก่อน อียิปต์ได้ยอมลงนามเซ็นสัญญาข้อตกลงที่แคมป์ เดวิด และประกาศยุติสงครามกับอิสราเอลซึ่งเป็นศัตรูที่ขับเคี่ยวกันมาอย่างยาวนาน ตามด้วยการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศ มีการเปิดพรมแดนไปมาหาสู่กัน มีการแลกเปลี่ยนกันด้านการทูต การค้า การท่องเที่ยวและการสื่อสารมวลชน
การลงนามดังกล่าว เป็นการเปิดโอกาสที่ยิ่งใหญ่แก่อิสราเอล ซึ่งมีความพร้อมและมีศักยภาพกว่าในด้านเทคโนโลยี ความเชี่ยวชาญด้านการเมืองระหว่างประเทศ เครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ สำหรับการทำสงครามทางวัฒนธรรม ทำลายล้างความคิดและจิตวิญญาณของประชาชาติอื่นๆ ดังที่เราได้ทราบมาจากปฏิญญาของไซออนิสต์
ว่าไปแล้ว การลงนามในครั้งนี้ ได้กลายเป็นภัยคุกคามที่ยิ่งใหญ่ต่อโลกอาหรับและอิสลาม มันเป็นภัยที่หนักหน่วงและเลวร้ายยิ่งกว่าภัยจากการรุกรานทางการทหารเสียอีก
ความจริงแล้วการตอบโต้ของชาวอาหรับ มุสลิมและชาวปาเลสไตน์นั้น ไม่สามารถจะนำมาเปรียบเทียบกับความสูญเสียและความทุกข์ยากของพวกเขาแม้แต่น้อย
สัญญาสันติภาพ มิได้ทำให้อิสราเอลหยุดยั้งการรุกรานต่อชาวปาเลสไตน์แต่ประการใด ตรงกันข้ามมันกลับทำให้อิสราเอลอหังการรุกไปข้างหน้าต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง หลังข้อตกลงไม่นาน นายเมเนเฮม เบกิน ได้ประกาศให้ บัยตุล มักดิส เป็นเมืองหลวงของประเทศอิสราเอลตลอดไป โดยไม่แยแสต่อเสียงประณามและทัดทานจากโลกมุสลิม
5.ขบวนการต่างๆของยะฮูดี/ยิวที่เป็นภัยต่อโลกอิสลาม
ไซออนิสต์ได้จัดตั้งกลุ่มองค์กรต่างๆ ในรูปแบบที่หลากหลาย เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายและเจตนารมณ์ของพวกเขา
ประวัติศาสตร์ของชาวยิวที่ต้องระเหเร่ร่อน ได้สะสมภูมิปัญญาและประสบการณ์แก่พวกเขา ให้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการใช้เล่ห์กลและเพทุบายต่างๆ ในการที่จะบรรลุถึงเป้าหมายและอุดมการณ์ของพวกเขา
กลุ่มองค์กรที่ทำงานรับใช้ขบวนการไซออนิสต์โดยตรงและเปิดเผย ก็คือ
(1) ความร่วมมือของยิวสากล
(2) สมัชชาชาวยิวสากล
(3) สหพันธ์นักหนังสือพิมพ์ยิวระหว่างประเทศ
(4) สภาที่ปรึกษาสำหรับชาวยิว
(5) สหภาพคนงานและผู้ฟื้นฟูโบราณสถาน
(6) สหภาพชาวยิวแห่งพระเจ้า
ส่วนองค์กรลับของชาวยิว ส่วนหนี่ง ได้แก่
(1) องค์การฟรีแมสสัน
(2) สโมสรโรตารี่
(3) สโมสรไลออนส์
องค์การฟรีเเมสสัน ( Freemasson)
ในปัจจุบันนี้ ขบวนการนี้ไม่ได้เป็นขบวนการลับอีกต่อไป หลังจากที่ได้มีผู้เปิดโปงขบวนการนี้ออกมาสู่สาธารณชน
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ขบวนการนี้เป็นองค์กรหนึ่งที่ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างลับๆ โดยพวกยิว เพื่อบรรลุถึงผลประโยชน์/อุดมการณ์ของพวกเขาและดำเนินแผนการต่างๆ ที่จะนำไปสู่การจัดตั้งรัฐยิวขึ้นมาใหม่และครอบครองโลกต่อไปเฮิร์ทเซล กล่าวว่า
สถานที่ทำงานอย่างลับๆของสมาชิกขบวนการฟรีแมสสัน จะกระจัดกระจายไปตามสถานที่ต่างๆทั่วโลก ภายใต้สภาพการณ์ที่ผู้คนหลับใหล และลุ่มหลง วิธีนี้นับเป็นอีกหนทางหนึ่งในการที่จะบรรลุถึงเป้าหมายของเรา และบรรดาพวกนัศรอนีย์ (คริสเตียน) อันต่ำต้อย จะหันมาสนับสนุนพวกเรา เพื่อบรรลุถึงอิสรภาพของพวกเขา พวกบริวารหรือตัวแทนของเรา ซึ่งไม่ใช่ชาวยิว จะช่วยกันสร้างความผาสุขมากมายแก่พวกเราชาวยิว
ขบวนการนี้เอง ได้มีบทบาทสำคัญในการทำให้โลกมุสลิมและอาหรับต้องปราชัยอย่างย่อยยับในปี ค.ศ.1948จากข้อมูลที่ถูกเปิดโปงและตีแผ่ออกมานั้น พบว่า บรรดาผู้นำและผู้ปกครองในประเทศอาหรับในสมัยนั้น ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของขบวนการนี้ และพวกเขาได้ร่วมสมคบคิดแผนการร้ายต่ออิสลามและโลกมุสลิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อดินแดนปาเลสไตน์
สโมสรโรตารีและไลออนส์ ( Rotary & Lion Clubs )
หลังจากความลับในเรื่องของขบวนการฟรีแมสสันได้ถูกเปิดเผยออกมา แผนการใหม่เพื่อการสถาปนาและบรรลุเป้าหมายของขบวนการยิวไซออนิสต์สากลในดินแดนปาเลสไตน์และทั่วโลกก็ได้มีการจัดวางขึ้นมาทดแทนองค์กรเก่า นั่นก็คือ มีการจัดตั้งองค์กรใหม่ คือ สโมสรโรตารีและไลออนส์
คำว่า โรตารี แปลล่า กลับมา หมายความว่า กลับคืนสู่ปาเลสไตน์ และสถาปนารัฐยิวขึ้นมา เพื่อปกครองและเป็นเจ้าโลก
สโมสรโรตารี และไลออนส์ ได้มีการขยายสาขาไปทั่วทุกภูมิภาคของโลกมุสลิม และดินแดนอื่น ด้วยการจัดกิจกรรมต่างๆในด้านวัฒนธรรม การกีฬา และ ความบันเทิง ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการล้างสมองเยาวชนคนหนุ่มสาวเป็นอย่างดี นอกจากนั้นยังสามารถปรับเปลี่ยนทัศนคติและค่านิยมของเยาวชนคนหนุ่มสาวให้หลงใหล คลั่งไคล้กับกระแสที่ชั่วร้ายต่างๆ
6.ข้อตกลงออสโลว์ : อีกบทหนึ่งของการยอมจำนนอันน่าอัปยศ
ในปัจจุบันนี้ เราได้เห็นโฉมหน้าใหม่ที่เราไม่เคยนึกฝันและคาดการณ์มาก่อน มันได้เปลี่ยนแปลงหลักการที่เรายึดมั่นกันมากกว่าครึ่งศตวรรษ ซึ่งลูกๆหลานๆมุสลิมได้รับการหล่อหลอมให้ตระหนักว่า
การปลดปล่อยมัสยิด อัล-อักซอเป็นภารกิจของมุสลิมทุกคน อิสราเอลเป็นภัยคุกคามต่อโลกมุสลิมทั้งทางด้านการทหาร การเมือง ศาสนา เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ตลอดไปจนถึงสิทธิเหนือดินแดนปาเลสไตน์ของเรา รัฐอิสราเอลเป็นรัฐโจรที่ปล้นดินแดนของเรา เป็นต้น
แต่เมื่อลูกๆหลานๆเหล่านั้นได้เติบโต จุดยืนของคนบางกลุ่มได้เปลี่ยนไป ด้วยประโยคสั้นๆเพียงไม่กี่ประโยค ที่มีความหมายมากสำหรับอิสลามและโลกมุสลิม จากการทำข้อตกลงหรือสนธิสัญญาของกลุ่มที่ยอมจำนนและศิโรราบต่อความอัปยศและความปราชัย โดยการยอมรับให้มีเพียง เขตปกครองพิเศษ ที่อยู่ใต้อำนาจการปกครองของอิสราเอล (ข้อความในข้อตกลงออสโลว์)
ผลลัพธ์แห่งข้อตกลงที่ยอมลดเกียรติศักดิ์ศรีและคุณค่าของตัวเองนั้น เราสามารถแลเห็นได้จากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ เป็นข้อตกลงที่ฝ่ายเดียวเป็นผู้จัดทำ แล้วให้ฝ่ายโลกมุสลิมลงนาม เพื่อยอมมอบสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คือ มัสยิดอัล-อักซอให้แก่อิสราเอล เป็นการบีบบังคับให้มุสลิมต้องมอบพื้นที่และดินแดนของมุสลิมให้แก่ผู้ปล้นและรุกราน พร้อมทั้งในสัญญาได้เพิกเฉยไม่ยอมระบุถึง สิทธิของประชาชนชาวปาเลสไตน์ ซึ่งมีอยู่ถึง 4 ล้านคนในต่างแดน ในการที่จะอพยพกลับสู่มาตุภูมิที่ถูกปล้นและยึดครอง
คนกลุ่มนี้ยอมลดศักดิ์ศรีตัวเองถึงขนาดแสดงอากัปกิริยา ยินดีปรีดากับการยื่นมือและกล่าวขอโทษต่อ ฆาตรกรเปื้อนเลือดที่สังหารเหล่านักรบมุสลิมและบรรดาชูฮาดาอ์ที่ ดีรยาซีน , ซอบราและซาติลลา
การที่คนมุสลิมผู้ทรยศกลุ่มนี้ยอมสละทั้งหมดนี้ ก็เพื่อให้ได้ดินแดนคืนเพียงร้อยละ 2 ของดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกปล้นทั้งหมด มันเป็นดังคำสุภาษิตโบราณของชาวอาหรับที่ว่า ถ้าไม่ได้อูฐ ขอให้ได้แพะเพียงตัวเดียวก็เพียงพอแล้ว
สรุปแล้ว ข้อตกลงออสโลว์นี้ เป็นข้อตกลงหรือสัญญาหยุดยิงที่จัดทำขึ้นฝ่ายเดียว เพื่อบังคับให้อีกฝ่ายที่อยู่ในสภาวะจำยอม ต้องวางอาวุธ ต้องลงนามในสนธิสัญญา ทั้งๆที่ใจไม่ยอมรับและเกลียด ในสถานการณ์ที่ตัวเองเพลี่ยงพล้ำและพ่ายแพ้จากสงคราม เหมือนกับที่ชาวญี่ปุ่นประสบหลังจากถูกถล่มด้วยระเบิดนิวเคลียร์ที่ฮิโรชีมาและนางาซากิ และประเทศเยอรมันพ่ายแพ้สงครามโลกนั่นเอง
ดังนั้น สำหรับอิสลามและโลกมุสลิมแล้ว จึงไม่ถือว่า การควบม้าไปมอบธงยอมแพ้ของอบู อัมมาร์ (ยาซีร อารอฟัต) แก่ศัตรูเป็นสิ่งที่นาสรรเสริญยกย่อง ไม่เป็นสิ่งที่สมควรเชิดชูเกียรติและให้รางวัลใดๆแม้แต่น้อย เพราะท่าทีและจุดยืนอันไร้ศักดิ์ศรีแบบนี้ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์อิสลาม เว้นเสียแต่ว่า นักรบและนักต่อสู้คนนั้น ได้เปลี่ยนบทบาทตัวเองมาเป็นสมุนบริวารและพันธมิตรของศัตรู ม้าศึกของเขาถูกเปลี่ยนเป็นลา ดาบของเขาถูกเปลี่ยนเป็นไม้เท้าผุๆ
ถึงแม้ว่า มันเป็นสนธิสัญญาที่อัปยศ เราก็หวังอยู่เหมือนกันว่า มันคงไม่เลวร้ายจนเกินไป เราหวังว่า เขตปกครองพิเศษภายใต้อำนาจการปกครองของยิวไซออนิสต์ (ตามข้อตกลงออสโลว์) จะถูกนำมาเป็นประเด็นและหัวข้อในการเจรจา เพื่อนำไปสู่การสถาปนารัฐเอกราชของชาวปาเลสไตน์ แต่แล้ว ความหวังอันนั้นมันก็ริบหรี่ลงและสูญสลายในที่สุด เมื่อเจ้าอูฐ (อิสราเอล) ร้องตะโกนลั่น ว่ากำลังเจ็บปวด มิใช่เพราะถูกหนูกัด แต่เป็นเพราะถูกแมลงสาปรบกวน นั่นก็คือ ถูกผู้ปกครองเขตปาเลสไตน์รบกวน นั่นแสดงว่า แม้มุสลิมบางกลุ่มยอมลดเกียรติและศักดิ์ศรีของตัวเองถึงเพียงนั้น อิสราเอลก็ยังคงไม่พอใจกับข้อตกลงและกลุ่มมุสลิมดังกล่าวอยู่ดี
สิทธิอันชอบธรรมของชาวปาเลสไตน์ เพื่อที่จะมีรัฐเอกราชบนมาตุภูมิของตัวเองมันอยู่ตรงไหน?ใครจะเป็นผู้ตอบ???
7. การปลดปล่อย มัสยิดอัล-อักซอ :ภารกิจทางศาสนาของมุสลิมทุกคน
ประชาชาติอาหรับผู้ซึ่งได้แลเห็นอย่างแจ่มชัดถึงพิษภัยของไซออนิสต์ ผู้ซึ่งประสบกับความพ่ายแพ้ในสงครามกับพวกยิวครั้งแล้วครั้งเล่า จนต้องยอมจำนนต่อสภาพความพ่ายแพ้ ด้วยการยอมลงนามในสัญญาเดวิดและออสโลว์ อันเป็นการทำลายศักดิ์ศรีของตัวเองให้ลดต่ำลงตามข้อตกลงดังกล่าว มันก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ที่เลวร้ายของชาวปาเลสไตน์ดีขึ้นและมีความคืบหน้าแต่ประการใดทั้งสิ้น ตรงกันข้าม มันกลับทำให้อิสราเอลมีความอหังการ รุกทางทหารและการเมืองมากขึ้น คุกคามมุสลิมปาเลสไตน์รุนแรงและโหดร้ายมากขึ้น อิสราเอลได้ประกาศให้ดินแดนซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของมุสลิม และ เป็นสถานที่ท่านศาสดาอิสรออ์และเมียะรอจญ์ ให้เป็นเมืองหลวงของรัฐอิสราเอลตลอดไป
โลกอาหรับและโลกอิสลามได้แสดงปฏิกิริยาต่ออิสราเอลอย่างไรบ้าง? ถ้าจะมีปฏิกิริยาบ้าง จากโลกอิสลามหรือประเทศอาหรับบางประเทศ มันจะส่งผลสะเทือนต่ออิสราเอลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงท่าทีและนโยบายลดความอหังการลงบ้างไหม??? คำตอบก็คือ
ไม่เลย
การญิฮาดที่แท้จริงของมุสลิม
เป็นหนทางเดียวและคำตอบสุดท้าย
สำหรับการหยุดยั้งความอหังการของพวกยะฮูดี/ยิว
สำหรับการปลดปล่อยดินแดนปาเลสไตน์และมัสยิด อัล-อักซอ อันเป็นสถานที่อิสรออ์และเมียะรอจญ์ของท่านศาสดามูฮัมมัด
ให้มีอิสรภาพและรอดพ้นจากการคุกคามของขบวนการยิวไซออนิสต์สากล.
ถ้าเราพิจารณาถึงการดำเนินแผนการทางการเมือง เราจะพบว่า ระหว่างพวกยิวกับอาหรับนั้น จะมีความแตกต่างด้านยุทธศาสตร์โดยสิ้นเชิง พวกอาหรับนั้นมักจะทำงานหรือกิจกรรมอะไรโดยไม่มีแผนและการเตรียมตัวที่ดี แต่การเมืองการทหารของยิวไซออนิสต์นั้น ถูกรวมศูนย์และมุ่งไปสู่เป้าหมายที่แน่นอน ชัดเจนไม่มีการเปลี่ยนแปลง แม้รัฐบาลและบุคคลจะเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม
ผลลัพท์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับพวกอิสราเอลในปัจจุบัน ล้วนเป็นผลพวงมาจากการวางรากฐานและการวางแผนการต่างๆมาอย่างดีของขบวนการยิวไซออนิสต์สากลเมื่ออดีตหลายสิบปีก่อน
แม้แต่สนธิสัญญาที่แคมป์เดวิดและข้อตกลงออสโลว์ ที่ถูกแอบอ้างว่า เป็นสนธิสัญญาสันติภาพนั้น ก็เป็นผลงานอันโสมมที่เกิดจากปลายนิ้วมือของคนอาหรับ ที่มีจิตวิญญาณและความคิดความอ่านเป็นยิว พวกเขาเหล่านี้ได้ใช้เวลาที่ยาวนานมากแอบแฝงและหลบซ่อนอยู่ใต้เสื้อคลุมอาหรับและอิสลาม จากการศึกษา เราสามารถสรุปได้ว่า ขบวนการยิวไซออนิสต์ จะดำเนินยุทธศาสตร์เพื่อครองความเป็นเจ้าเหนือดินแดนปาเลสไตน์ โลกอาหรับและอิสลาม และดินแดนอื่นๆทั่วทุกภูมิภาค มีดังต่อไปนี้
การเหยียดผิวและเชื้อชาติ
แท้จริง มูลฐานอันเป็นที่มาของนโยบายและยุทธศาสตร์ทางการเมือง การทหารของขบวนการยิวไซออนิสต์สากล ก็คือ ลัทธิเหยียดผิวและเชื้อชาติ นั่นเอง ลัทธินี้เชื่อว่า ทุกศาสนา เผ่าพันธุ์และเชื้อชาติ ไม่มีฐานะเป็นมนุษย์ และทุกกลุ่มชนจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการบรรลุถึงผลประโยชน์และจุดมุ่งหมายของขบวนการดังกล่าว
แม้แต่ในคัมภีร์ที่พวกยิวได้สังคายนาแล้วจากคัมภีร์เตารอตอันบริสุทธิ์ ยังได้ระบุว่า ศาสนายูดายนั้นเป็นศาสนาเฉพาะเผ่าพันธุ์อิสราเอล ในขณะที่คัมภีร์อัล-กุรอานได้ยืนยันอย่างอย่างชัดเจน มั่นคงว่า อัลลอฮทรงเป็นพระเจ้าของมนุษยชาติทั้งมวล พระเจ้าของทุกสรรพสิ่ง และพระผู้อภิบาลแห่งสากลจักรวาล อัล-กุรอานมิได้กล่าวว่า พระเจ้าของชาวอาหรับ หรือ พระเจ้าของมวลมุสลิม แต่ทว่าในคัมภีร์เตารอต ได้กล่าวว่า แท้จริงอัลลอฮนั้น ทรงเป็นพระเจ้าของพวกอิสรออีล อีกทั้งเนื้อหาในคัมภีร์ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่ได้ให้ความสนใจสิ่งอื่นๆ นอกเสียจากเพื่อชาวบนีอิสรออีล ประวัติศาสตร์และความใฝ่ฝันของพวกเขา ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องวันปรโลก นรกและสวรรค์ กล่าวแต่เฉพาะอำนาจและฐานะของบนีอิสรออีลเท่านั้น เตารอตได้ขนานนามพวกเขาว่า ประชาชาติที่ถูกคัดเลือก ในขณะที่มุสลิมเรานั้นกล่าวถึง ความเป็นจริงของนามที่ได้รับจากพระเจ้า เกิดขึ้นขณะที่พวกเขายังยืนหยัดในศาสนาเตาฮีด (เอกภาพ) และต่อสู้กับการตั้งภาคี พร้อมทั้งยึดมั่นในหลักคำสอนของบรรดาศาสนทูตทั้งหลาย เมื่อพวกยะฮูดี/ยิวได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ซึ่งละเมิดและขัดแย้งกับศีลธรรมและจริยธรรมที่ดีงาม อัลลอฮจึงทรงเปลี่ยนและขนานนามนี้แก่ประชาชาติอื่นที่มีความเหมาะสม
และคราใดที่ได้มีรอซูลนำสิ่งที่ไม่สบอารมณ์ของพวกเจ้ามายังพวกเจ้า พวกเจ้าก็ยะโส แล้วกลุ่มหนึ่งของพวกเจ้าก็ปฏิเสธ และอีกกลุ่มหนึ่งพวกเจ้าก็ฆ่าเสียกระนั้นหรือ? (เช่น นบีซาการียา นบีซอและฮ เป็นต้น)
(ซูเราะฮ อัล-บากอเราะห์ : 87)
บรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาในหมู่วงศ์วานอิสรออีลนั้น ได้ถูกสาปโดยถ้อยคำของดาวูดและอีซาบุตรของมัรยัม นั่นก็เนื่องจากการที่พวกเขาฝ่าฝืน และพวกเขาเคยละเมิดกัน ปรากฎว่า พวกเขาต่างไม่ห้ามปรามกันในสิ่งไม่ชอบที่พวกเขากระทำมันขึ้น ช่างเลวร้ายจริงๆที่พวกเขากระทำ (ซูเราะฮ อัลมาอีดะห์ : 78 79)
คนยะฮูดี/ยิวนั้น ได้เรียกความสงสารและความเห็นใจจากชาวโลกว่า พวกเขาเป็นชนชาติเร่ร่อน ถูกขับไล่และกดขี่ พวกเขาได้ลับดาบแห่งการแพร่คำใส่ร้ายอันโสมม แก่พวกที่ขัดขวางผลประโยชน์ของพวกยะฮูดีว่า แอนตี้เซมิตทั้งๆที่ โดยข้อเท็จจริงแล้ว คนยิวในปัจจุบันส่วนใหญ่ไม่ใช่เผ่าเซมิตและไม่ใช่เผ่าพันธุ์อิสรออีล ดังข้อมูลการวิจัยของชาวตะวันตกที่รักความเป็นธรรมได้ระบุไว้ สรุปได้ว่า
แท้จริง คนยิวในปัจจุบัน ไม่ใช่คนเชื้อชาติยิวที่แท้จริง
นี่คือ ชื่อหนังสือ ซึ่งแต่งโดย เบนจามิน เฟรดแมน (Benjamin Friedman)
นั่นหมายความว่า คนยิวในปัจจุบันไม่ใช่คนเชื้อชาติเซมิตและบนีอิสรออีลในอดีตแต่ประการใด คนยิวในปัจจุบันส่วนใหญ่ มาจากยิวแห่งรัฐบาลคาร์ซาร์ส ซึ่งกำเนิดในแถบยุโรปตะวันออกสมัยที่พวกตาร์ตาร์ได้หันมานับถือศาสนายูดาย เมื่อรัฐบาลคาร์ซาร์สล่มสลายลง ยิวบางกลุ่มก็ได้กระจัดกระจายไปทั่วแหลมไครเมีย (แถบทะเลดำของรัสเซีย) โดยที่โปแลนด์เป็นดินแดนแรกที่พวกเขาอพยพเข้ามาตั้งรกราก ในปี ค.ศ.1650 มีประชากรชาวยิวประมาณ 500,000 คน และพวกเขาได้รับอำนาจ ในเขตปกครองพิเศษของชาวยิว ต่อมาเมื่อปี ค.ศ. 1658 กองทัพชัมบัสกี้ จากยูเครน บุกโจมตีชุมชนดังกล่าว
ที่แปลกประหลาดที่สุด ก็คือ ชนชาติเซมิตที่แท้จริง นั่นก็คือ ชาวอาหรับปาเลสไตน์ และชนเซมิตดั้งเดิม กลับถูกพวกยะฮูดีขับไล่จากดินแดนอันเป็นมาตุภูมิของพวกเขา ด้วยข้ออ้างทางประวัติศาสตร์อันจอมปลอม
พฤติกรรมเหยียดผิวและเชื้อชาติอันสุดโต่งที่พวกยิวปฏิบัติการนั้น ก็เพียงเพื่อรื้อฟื้นลัทธินาซีใหม่ (Neo-Nazi) และความคลั่งเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ โดยไม่แยแสต่อสิ่งใดๆนอกเสียจากผลประโยชน์ของตัวเอง และไม่ยอมรับในสิทธิอันชอบธรรมของชนชาติอื่น โดยเฉพาะชนชาติที่ขัดขวางผลประโยชน์ของพวกเขา
2.นิยมการใช้ความรุนแรงและรุกรานผู้อื่น
ในเมื่อมูลฐานทางความคิดและความเชื่อของรัฐอิสราเอลมีลักษณะดังที่กล่าวมา ผลกระทบหรือโรคร้ายที่ตามมา เป็นลำดับที่สอง ก็คือ ความรุนแรงและการใช้กำลัง พฤติกรรมชอบสงครามด้วยกำลัง การบีบบังคับและการสร้างความขัดแย้ง แม้แต่ในคัมภีร์ของพวกเขายังได้เรียกตัวเองว่าเป็น ชนชาติที่ปากแข็ง (ชอบทะเลาะวิวาท) เกี่ยวกับเรื่องนี้ คัมภีร์อัล-กุรอานได้กล่าวว่าแล้วหลังจากนั้น หัวใจของพวกเจ้าก็แข็งกระด้าง ประดุจหิน หรือแข็งกระด้างยิ่งกว่า (ซูเราะฮ อัล-บากอเราะฮ : 74) แต่เนื่องจากการที่พวกเขาทำลายสัญญาของพวกเขา เราจึงได้ให้พวกเขาห่างไกลจากความกรุณาเมตตาของเรา และหัวใจของพวกเขาแข็งกระด้าง
(ซูเราะฮ อัล-มาอีดะห์ : 13)
เพื่อบรรลุถึงเป้าหมาย พวกเขาจะไม่สนใจใยดีว่า คนอื่นต้องเสียเลือดเนื้อ ต้องละเมิดสิทธิอันชอบธรรมและรุกรานประเทศอื่น ตลอดจนต้องปล้นทรัพย์สิน บ้านเรือนและที่ดินของผู้อื่น พวกเขาคิดแต่เพียงว่า ชนชาติอื่นเป็นเพียงผู้ให้บริการและสนับสนุนชาวยิวเท่านั้น
เพื่อยืนยันถึงความเชื่อนี้ ขอยกคำประกาศและคำแถลงของนายเมนาเฮม เบกิน วีรบุรุษของชาวยิวและขบวนการยิวไซออนิสต์ และเป็นหัวหน้าพรรคลิคุด เขาได้กล่าวเมื่อตอนสถาปนาประเทศอิสรออีล ในหนังสือของเขาชื่อ Revolution ว่า
เพราะฉันทำสงคราม ฉันจึงมีอยู่ในวันนี้
ผู้ศึกษาวิเคราะห์เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของประเทศอิสราเอลในปัจจุบันกับชนชาติปาเลสไตน์และอาหรับ จะประจักษ์และรู้เป็นอย่างดีถึง พฤติกรรมนิยมความรุนแรงของชาวยิว
พฤติกรรมอันรุนแรงนี้ได้มีการนำมาใช้กับการขับไล่ชาวปาเลสไตน์ เพื่อให้อพยพออกจากมาตุภูมิ มีการรุกไล่ชนชาวปาเลสไตน์ตราบจนปัจจุบันนี้ และอิสราเอลได้ผนวกเอาประเทศปาเลสไตน์มาอยู่ใต้อำนาจการปกครองของพวกเขาอย่างดื้อๆ มีการก่อสร้างนิคมชาวยิวในเยรูซาเล็ม บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำจอร์แดน กาซาร์ มีการก่ออาชญากรรมอย่างเหี้ยมโหดที่ค่ายซาบราและซาติลลา และคุกคามมัสยิดเฮ็บรอนในขณะที่ผู้คนกำลังละหมาดซุบฮีในเดือนรอมาดอน โศกนาฏกรรมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ล้วนมาจากพฤติกรรมที่นิยมความก้าวร้าวรุนแรงและการใช้กำลัง ดูเหมือนว่า ภาษาที่อิสราเอลเข้าใจ ก็คือ ภาษาแห่งความรุนแรงและสงครามเท่านั้น
3.นโยบายการขยายอาณาจักรและดินแดน
โรคร้ายอันดับที่สาม อันเป็นผลพวงมาจากพฤติกรรมของรัฐอิสราเอล ก็คือ ความใฝ่ฝันในการที่จะเป็นจักรวรรดิ หรือ นโยบายการเป็นเจ้าโลก
อิสราเองยังไม่หยุดและพึงพอใจกับดินแดนและทรัพยากรที่เขาปล้นมาได้ในขณะนี้ เขายังไม่อิ่มพอ พฤติกรรมของอิสราเอลนั้นมันประดุจดังนรก ญะฮันนัม ซึ่งเมื่อมันถูกถามว่า เจ้าอิ่มพอแล้วหรือยัง? นรกญะฮันนัมก็จะตอบว่า ยังมีอะไรเพิ่มเติมอีกไหม?
ประเทศนี้มีความใฝ่ฝันที่จะเป็น จักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ มีอาณาบริเวณตั้งแต่แม่น้ำไทกริส จนถึงแม่น้ำไนล์
คนยิวบางคนกล่าวว่า รัฐของท่านโอ้อิสรออีล มีอาณาบริเวณตั้งแต่แม่น้ำไทกริส จนถึงแม่น้ำไนล์ และจากข้าวจนถึงต้นอินทผลัมหมายความว่า ตั้งแต่แม่น้ำไทกริสในอีรัก จนถึงแม่น้ำไนล์ในประเทศอียิปต์ และจากต้นข้าวในประเทศเลบานอนไปจนถึงต้นอินทผลัมในเมืองมาดีนะห์ อัล-มุเนาวาเราะฮ และเมืองไคบัร ในประเทศซาอุดีอารเบีย อันเป็นดินแดนที่บรรพบุรุษของชาวยิวเคยอาศัยอยู่
เรื่องนี้ได้รับการยืนยันอย่างชัดเจนจากวีรบุรุษของชาวยิวท่านหนึ่ง ชื่อ ศาสตราจารย์ อิสรออีล ซะหาก อาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ ท่านผู้นี้ได้เปิดม่านที่ได้ปกปิดส่วนลึกของจิตใจชาวอิสราเอลมานาน โดยเขาได้เปิดเผยในหนังสือเล่มหนึ่งที่พิมพ์ออกมาเป็นภาษาอังกฤษ ตอนหนึ่งมีความหมายว่า เขตอิทธิพลและอำนาจที่รัฐอิสราเอลใฝ่ฝันนั้น จะครอบคลุมอาณาบริเวณหลายประเทศ อันได้แก่ ซีเรีย เลบานอน ตุรกี อีรัก ซาอุดีอารเบีย เยเมน คูเวต อิยิปต์ จนถึง อเลกซานเดรีย
สรุปแล้ว พวกยิวไซออนิสต์ต้องการจะเป็นเจ้าโลก และได้มีการดำเนินยุทธศาสตร์ต่างๆอย่างมีขั้นตอน และสอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเมือง การทหารของโลก
อาจจะมีบางท่านกล่าวว่า เรื่องดังกล่าวมันเป็นเรื่องเพ้อฝัน มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ
สำหรับคนที่คิดเห็นเช่นนี้ เราขอตอบโต้ว่า การสถาปนารัฐอิสราเอล ในตอนแรกๆมันก็เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝันของคนยิวเมื่อร้อยปีก่อน และประเทศนี้ก็ปรากฏเป็นจริงขึ้นในเวลาต่อมา แม้อิสราเอลในปัจจุบันไม่ค่อยอยากจะเอ่ยถึงเรื่องความใฝ่ฝันนี้มากนัก เพราะกลัวจะส่งผลกระทบต่อพวกเขาหลายเรื่อง และอาจทำให้แผนการของพวกเขาหยุดชะงัก พวกเขาจึงทำเป็นเพิกเฉยไม่พูดถึงเรื่องนี้สักระยะหนึ่ง เพื่อให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ทางการเมืองของอิสราเอลและโลกในปัจจุบัน
ในอดีตมีหลายกรณีที่อิสราเอลถูกประณามและปฏิเสธจากประชาคมระหว่างประเทศ อาทิ เช่น มติสหประชาชาติเมื่อปี ค.ศ.1947 อันเป็นมติการแบ่งดินแดนปาเลสไตน์บางส่วนให้แก่อิสราเอล แต่เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่เราไม่เคยคาดคิดมาก่อนก็เกิดขึ้น นั่นก็คือ สังคมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศอิสลาม ได้ให้การยอมรับและรับรองในสิ่งที่เราปฏิเสธในอดีต
แท้ที่จริงแล้ว อิสราเอลยังคงใช้ความพยายามอย่างไม่ลดละ ในอันที่จะบรรลุถึงความใฝ่ฝัน ซึ่งในอดีตมันเป็นเพียงความฝัน แต่กำลังจะปรากฏเป็นจริงขึ้นมาในปัจจุบันและอนาคต
สิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม ก็คือ ประเทศมหาอำนาจต่างๆจะให้การสนับสนุนพวกเขาเพื่อให้บรรลุถึงความใฝ่ฝันดังกล่าว
เริ่มตั้งแต่ปฏิบัติการของจักรวรรดินิยมอังกฤษ ซึ่งได้ให้คำมั่นสัญญาแก่พวกเขาว่า จะยกดินแดนในปาเลสไตน์ ให้เป็นสถานที่ตั้งของรัฐอิสราเอล
อังกฤษได้ให้คำมั่นสัญญานี้ผ่านรัฐมนตรีต่างประเทศ ชื่อ อาเธอร์ บัลฟอร์ โดยได้บรรจุไว้ในสนธิสัญญาอันลือชื่อ เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 1917 บัลฟอร์ ได้กล่าวในวันนั้นว่า คนที่ไม่ครอบครองอะไร (อังกฤษ) จะให้คำมั่นสัญญา (มอบปาเลสไตน์) แก่ผู้ที่ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกันแม้กระทั่งประเทศมหาอำนาจหนึ่งเดียวอย่างสหรัฐอเมริกาในปัจจุบัน ก็เป็นผู้ให้การสนับสนุนคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังต่อประเทศนี้ ด้วยการสนับสนุนงบประมาณ อาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งการใช้อำนาจในวีโต้ในองค์การสหประชาชาติ นอกจากนั้น ยังได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียตเมื่อครั้งยังเป็นมหาอำนาจค่ายคอมมิวนิสต์และในปัจจุบันอีกด้วย
ถ้าหากประเทศอิสราเอลไม่ได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจากสหรัฐอเมริกา ประเทศตะวันตกและรัสเซีย ประเทศอิสราเอลไม่อาจดำรงอยู่เช่นทุกวันนี้อย่างแน่นอน
4.ละเมิดศีลธรรมและจริยธรรม
รัฐอิสราเอลถูกสถาปนาบนพื้นฐานของพฤติกรรมที่ไร้ศีลธรรมและจริยธรรมต่อชนชาวอาหรับและปาเลสไตน์ พวกเขายึดมั่นในปรัชญาที่ว่า ศีลธรรมและจริยธรรมจะมีการเปลี่ยนแปลงเสมอ ไม่มีความแน่นอน มันไม่ควรถูกใช้โดยองค์รวม และมันควรถูกแยกส่วนและเลือกใช้อย่างเหมาะสม
ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ถ้าหากประเทศอิสราเอลมีนโยบายต่างประเทศแบบสองมาตรฐาน (ดับเบิ้ลสแตนดาร์ด) นั่นก็คือ นโยบายสำหรับตัวเอง กับ นโยบายสำหรับผู้อื่น
เป็นที่น่าเสียใจ เมื่อเรื่องแบบนี้ไปปรากฏในหลักคำสอนทางศาสนาของพวกเขาด้วย ความว่าแท้จริง คนอิสรออีลมีสิทธิ์ที่จะกอบโกยดอกเบี้ยจากผู้อื่นที่มิใช่พวกบนีอิสรออีล แต่มันเป็นข้อห้ามสำหรับพวกอิสรออีลด้วยกัน
มันช่างแตกต่างกับคำสอนอิสลามอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่หะล้าล อิสลามจะอนุมัติสำหรับทุกๆคน สิ่งที่หะรอม อิสลามก็จะห้ามสำหรับทุกๆคนด้วยเช่นกันอัล-กุรอานระบุว่า
นั่นก็เพราะ พวกเขากล่าวว่า สำหรับหมู่ผู้อ่านเขียนไม่เป็นนั้น จะไม่มีทางใดที่เป็นบาปแก่เราได้ (คือ - พวกเขาถือว่า การโกงบรรดาผู้ที่เขียนอ่านไม่เป็นในหมู่ชนชาติอาหรับนั้นไม่มีบาปหรือโทษใดๆ โดยอ้างว่า พวกเขาเป็นผู้ที่อัลลอฮทรงเกลียดชัง) (ซูเราะฮ อาลิอิมรอน : 75)
ขณะที่คนอิสรออีลยึดมั่นใน อุดมการร์ญาฮีลียะห์ที่ว่า จะให้เป็นสิ่งอนุมัติ (หะล้าล) หนึ่งปี และจะให้เป็นสิ่งต้องห้าม (หะรอม) หนึ่งปีถัดไป กฏเกณฑ์ของพวกเขาจะถูกกำหนดไปตามผลประโยชน์ของพวกเขา ดังเช่นปรัชญาอันลือชื่อของ แมคคิววาลี ที่ว่า เป้าประสงค์ จะอนุมัติให้ใช้รูปแบบและวิธีใดก็ได้เพื่อให้บรรลุถึงเป้าประสงค์อิสราเอล โดยไม่ต้องแยแสว่า จะละเมิดและปล้นดินแดนผู้อื่นหรือไม่ก็ตาม
ตรงกันข้ามกับมุสลิมและอาหรับ จะเป็นประชาชาติที่ยึดมั่นในศีลธรรมและจริยธรรมอย่างเคร่งครัด เพราะศาสนาของพวกเขาสอนให้ยึดมั่นในหลักศีลธรรมและจริยธรรมในทุกๆด้าน
อิสลามไม่ยอมรับในปรัชญาที่ว่า เป้าประสงค์ จะอนุมัติให้ใช้ทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าประสงค์ที่กำหนด
ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อปรากฏว่า อิสราเอลจะยึดมั่นในพันธะสัญญาต่างๆตราบใดที่สนองประโยชน์ของพวกเขาเท่านั้น พวกเขาจะฉีกสัญญาทิ้งเมื่อปรากฏว่า มันขัดกับผลประโยชน์ของพวกเขา
ลองดูท่าทีของเบนจามิน เนทันยาฮู , เอเรียล ชารอน นายกรัฐมนตรีของอิสราเอล เมื่อผู้สื่อข่าวถามเกี่ยวกับ ข้อตกลงออสโลว์ และ การปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าว ทั้งสองได้ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า มันได้ตายไปแล้ว
มันจึงเป็นสิ่งยืนยันและพิสูจน์พฤติกรรมของพวกเขาตามที่อัล-กุรอานได้ระบุไว้เป็นอย่างดี ความว่าคือบรรดาผู้ที่เจ้าได้ทำสัญญาไว้ในหมู่พวกเขา (คือ พวกยิวตระกูลกุรอยเฎาะฮ แห่งนครมาดีนะฮ) แล้วพวกเขาก็ทำลายสัญญาของพวกเขาในทุกครั้ง โดยที่พวกเขาหาเกรงกลัวไม่ (ซูเราะฮ อัล-อัมฟาล :56)
ความไร้ศีลธรรมและจริยธรรมของพวกเขา ยังเป็นการยึดมั่นและนำคำพูดของผู้นำชาวยุโรปในอดีตมาใช้อีกด้วย
ดังเช่น คำพูดที่ว่า แท้จริง สัญญาต่างๆนั้น มันเป็นเพียงยุทธวิธีหนึ่งที่ผู้เหนือกว่ากระทำต่อผู้ที่อ่อนแอกว่า
จริยธรรมที่รัฐอิสราเอลยอมรับก็คือ จริยธรรมแห่งความรุนแรง การปล้นสดมภ์และละเมิดผู้อื่นเท่านั้น นี่คือพฤติกรรมของทรราชย์ที่แท้จริง
ความจริง อิสราเอลซึ่งพยายามใส่ร้ายชาวปาเลสไตน์ตลอดเวลาว่า เป็นผู้ก่อการร้าย ควรจะถูกตราหน้าว่า เป็นผู้ก่อการร้ายโดยรัฐเถื่อนที่อันตรายที่สุดในโลก เพราะพวกเขาได้ละเมิดสิทธิมนุษยชนและรุกรานประเทศอื่น ด้วยการใช้กำลัง อาวุธและความรุนแรงเสมอมา
เพราะความไร้ศีลธรรมและจริยธรรมของพวกเขา จึงไม่แปลกแต่ประการใด ที่ท่านอีซา อัล-มาซีฮ (พระเยซู คริสต์) ต้องสาปแช่งพวกเขาว่า ความวิบัติจงมีต่อบรรดานักเขียนผู้หลงละเริง โอ้บรรดพวกงู และลูกงูทั้งหลาย โอ้วงศ์วานของกลุ่มชนที่ฆ่าบรรดานบีทั้งหลาย พวกเจ้าจะรอดพ้นจากนรกญะฮันนัมได้อย่างไร???
5.ความโลภ บูชาวัตถุและครอบงำเศรษฐกิจ
โรคร้ายอันเป็นที่รู้จักของชาวยิว ก็คือ ความโลภ บูชาวัตถุและมีความตระหนี่ ในประวัติศาสตร์พวกบนีอิสรออีลเคยภักดีและบูชาเจว็ดลูกวัวที่ถูกหล่อมาจากทองคำ อัล-กุรอานจึงขนานนามพวกเขาว่า เป็นผู้ตระหนี่
หรือว่าพวกเขามีส่วนได้ใดๆจากอำนาจ (อำนาจในการปกครอง และในการได้มาซึ่งทรัพย์สมบัติ) ถ้าเช่นนั้นแล้ว พวกเขาจะไม่ให้แก่คนอื่น (ผู้ที่มิใช่ชาวยิว) แม้เพียงอณูเดียวจากเม็ดอินทผลัม (ซูเราะฮ อันนีซาอ์ : 53)
เป้าหมายสูงสุดของขบวนการยิวไซออนิสต์ ก็คือ การผูกขาดและครองงำทางเศรษฐกิจในทุกด้าน โดยเฉพาะในเรื่องการเงิน พลังงาน ธุรกิจบันเทิง เป็นต้น
6.การเสริมสร้างแสนยานุภาพทางการทหาร
ชาวยิวนั้นเกิดมาในสภาพที่หวาดกลัวและระแวงต่อผู้อื่น พร้อมทั้งต้องการจะครอบงำคนอื่นและพยายามให้ผู้อื่นตกเป็นเครื่องมือของพวกเขา
ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้ชาวยิวจำเป็นต้องพัฒนาแสนยานุภาพทางทหารตลอดเวลา เพื่อข่มขู่ชาวอาหรับและชาวโลกให้เกรงกลัวในแสนยานุภาพ ประกอบกับ วิถีชีวิตของชนชาวอาหรับได้ห่างไกลจากหลักอากีดะห์และครรลองอิสลาม ทำให้ขาดความเชื่อมั่นในตัวเองและอ่อนแอลง
7.การครอบงำสื่อสารมวลชน
คนยิวถือว่า สื่อมวลชนเป็นประตูด่านแรก ที่ทำให้พวกเขาสามารถเจาะเข้าไปในประเทศมุสลิม ด้วยสื่อทำให้พวกเขาสามารถล้างสมองและครอบงำชนชาติอื่นๆและมวลชนทั้งหลาย ดังนั้น ยิวจึงพยายามหาหนทางในการที่จะครอบงำสื่อทุกประเภท
ในโปรโตคอล/ปฏิญญาของชาวยิว ระบุว่า วรรณกรรมและหนังสือพิมพ์เป็นสองพลังทางความคิดที่มีความสำคัญด้วยเหตุนี้รัฐบาลของเราจะซื้อสื่อส่วนใหญ่มาเป็นเจ้าของ ด้วยวิธีนี้ทำให้เราสามารถแทรกแซงสื่อได้และสร้างกระแส ตลอดจนควบคุมความคิดของมวลชนส่วนใหญ่ได้
เป็นภารกิจสำคัญสำหรับเราชาวยิวที่จะเข้าไปมีอิทธิพลเหนือรัฐบาลที่มิใช่ชาวยิว โดยผ่านเวทีการแสดงมุมมอง ทัศนะและคอลัมน์ในสื่อต่างๆ โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ เราต้องให้หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ทั้งหลายอยู่ในเงื้อมมือของเรา ยกเว้นหนังสือพิมพ์เล็กๆบางฉบับที่ไม่มีอิทธิพลต่อสังคมมากนัก
คนยิวประสบผลสำเร็จในการครอบงำสื่อทั้งหลาย อาทิเช่น นิตยสารไทมส์ ,เดลี่ เทเลกราฟ , เดลี่ เอ็กซเพรส , เดลี่ เมล์ , อ็อบเซอร์บเวอร์ ,วอชิงตันโพสต์, ดิ อิโคโนมิสต์ เป็นต้นคนยิวยังสามารถครอบงำสื่อต่างๆในประเทศอาหรับและโลกอิสลามด้วย โดยผ่านทางรายการวิทยุ โทรทัศน์และภาพยนตร์ ต่างๆ เป็นต้น
8.การรุกรานทางวัฒนธรรม
อาวุธที่ร้ายแรงที่สุด ที่ขบวนการยิวไซออนิสต์นำมาใช้ ก็คือ การรุกราน/สงครามทางวัฒนธรรมและความคิด ซึ่งจะถูกนำมาใช้เพื่อทำลายชนชาติอื่น รวมทั้งทำลายสมอง ความคิด สติปัญญา เพื่อให้หันมายอมรับต่อคำพูด ความคิดและวิถีชีวิตที่พวกยิวไซออนิสต์คิดประดิษฐ์ขึ้นมา มีการประชาสัมพันธ์และโฆษณาผ่านสมาคม องค์กรและตัวบุคคลต่างๆทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ ระหว่างประเทศ ด้วยงบประมาณจำนวนมหาศาล
ในโปรโตคอลที่ 2 ระบุว่า เรา ผู้ซึ่งได้เตรียมคนอย่างชาร์ล ดาร์วิน , คาร์ล มาร์กซ , นิทเช่ ต้องไม่ลืมวิธีการต่างๆที่จะให้ความคิดของบุคคลเหล่านี้เกิดผลต่อสังคม
ในโปรโตคอลที่ 9 ระบุว่า เราได้ทำลายประชาชาติอื่นที่มิใช่ยิว เราได้ทำลายศีลธรรมและ จริยธรรมของชนรุ่นนี้ ด้วยการแพร่ความคิด ทฤษฎีต่างๆที่อันตรายและเราพยายามให้ความคิดอันเป็นพิษภัยนี้ดำรงอยู่อย่างเข้มแข็งยั่งยืนในชนรุ่นนี้ตลอดไป
บทสรุปของสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ทำให้เราพอจะมองออกว่า ใครคือศัตรูของชาวโลกและมวลมุสลิม พฤติกรรมต่างๆของรัฐอิสราเอล โดยมีขบวนการยิวไซออนิสต์ชักใยอยู่เบื้องหลังนั้นล้วนเป็นพฤติกรรมของการก่อการร้าย ที่นิยมการใช้ความรุนแรงและแนวทางสุดโต่ง เป็นเผด็จการอย่างแท้จริง การประกาศสงครามกับผู้ก่อการร้ายจึงต้องเริ่มต้นด้วยการทำครามและปราบปรามการก่อการร้ายโดยรัฐเถื่อนอิสราเอลเป็นอันดับแรก โลกจึงจะมีสันติภาพและความยุติธรรมที่แท้จริง
บทความโดย ฮูซัยฟะฮฺ คัดลอกจาก Islamic Library Yala