https://www.facebook.com/proconsmicropiles procons รัฐไซออนนิสต์ฆาตกรสังหารหมู่เป็นผู้นำรัฐ
ReadyPlanet.com
dot
bulletHome
dot
Procons Team
dot
bulletงานแก้ไขอาคารทรุด
bulletปัญหาการทรุดตัว
bulletชนิดของเสาเข็ม
bulletผลงานต่างๆ
dot
ความรู้เรื่อง บ้านและส่วนประกอบของอาคาร
dot
bulletมารู้เรื่องส่วนประกอบของอาคารกันสักหน่อย
bulletเปิดโปงองค์กรลับ ฟรีเมสัน
bulletสนธิสัญญาชั้นต้นของผู้นำขบวนการยิวไซออนิสต์
bulletความจริงที่ไม่มีคนรู้เกี่ยวกับไซออนนิสต์
bulletเนื้อแท้ของรัฐไซออนนิสต์
bulletกฎการอนุญาตให้ปฏิบัติการพลีชีพในอิสลาม
bulletลัทธิก่อการร้ายไซออนนิสต์ เบื้องหลังหายนะภัย 911 (1)
bulletลัทธิก่อการร้ายไซออนนิสต์ เบื้องหลังหายนะภัย 911 (2)
bulletลัทธิก่อการร้ายไซออนนิสต์ เบื้องหลังหายนะภัย 911 (3)
bulletลัทธิก่อการร้ายไซออนนิสต์ เบื้องหลังหายนะภัย 911(4)
bulletลัทธิก่อการร้ายไซออนนิสต์ เบื้องหลังหายนะภัย 911 (5)
bulletลัทธิก่อการร้ายไซออนนิสต์ เบื้องหลังหายนะภัย 911 (6
bulletลัทธิก่อการร้ายไซออนนิสต์ เบื้องหลังหายนะภัย 911 (7)
bulletลัทธิก่อการร้ายไซออนนิสต์ เบื้องหลังหายนะภัย 911 (8)
dot
รู้ไว้ไช่ว่าใส่บ่าแบกหาม
dot
bulletสงครามครูเสด ขนาดย่อ
bulletกลุ่มไซออนิสต์คริสเตียนใหม่ของอเมริกา.
bulletกำแพงกั้นอารยธรรมอิสลามกับตะวันตก.
bulletไซออนิสต์ คำสอนเรื่องเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์อย่างผิดๆ
bulletขบวนการไซออนนิสต์ กลุ่มก่อการร้ายตัวจริง
bulletรู้จักยิวไซออนนิสต์แล้วหรือยัง
bulletขบวนการไซออนนิสต์ อันตราย
bulletเหตุการณ์หลังจากนบีอีซา อะลัยฮิสลาม.(เยซู)
bulletไซออนนิสต์กับยุทธศาสตร์ครองความเป็นเจ้าโลก (โลกเดียว)
bulletอีกด้านหนึ่งของเหรียญ (นรกรอบใหม่ในตะวันออกกลาง)
bulletน่ารู้สำหรับผู้ไฝ่หาความจริง อ่านแล้วคิด
bullet9/11 ปาหี่อาชญากรรมสงคราม
bulletเร่งเปิดโปง CTIC สถานะการณ์ภาคใต้+แผนการเจ็ดขั้นเพื่อส่งผลให้อเมริกาขึ้นเป็นจ้าวโลก
bulletIslamic World
bulletไปดูอิสลามกับวิทยาศาตร์
bulletไปอ่านข่าว ยมท.กันบ้าง
bulletไปหาพี่น้องชาวจีน มุสลิม
bulletเสนอเรื่องราวของมุสลิมใหม่ และมุสลิมในโลกตะวันตก
dot
อ่านข่าวกันสักหน่อยจะได้ทันเหตุการณ์
dot
bulletผู้จัดการ ออนไลน์
bulletเดลินิวส์
bulletมติชน
bulletคมชัดลึก
bulletไทยรัฐ
bulletไปดูข่าว อสมท.
dot
ข่าวประกวดราคาและการประมูล
dot
bulletรวมข่าวประกวดราคา
bulletตลาดซื้อ-ขายไปThai2Hand
bulletประมูลสินค้าทั่วไป
bulletgoogle
dot
ซอร์ฟแวร์ฟรี มีมากมายไปดู
dot
bulletที่นี่มีมากมายเข้าไปดูเอง
bulletมือถือ ที่นี่เลยมีทั้งฟรีทั้งเสียตัง
dot
ความรู้เพิ่มเติม
dot


Search in the Holy Quran
Search keyword:
in


เนื้อแท้ของรัฐไซออนนิสต์

อิสราเอลเป็นประเทศที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อรัฐของชาวยิว มิใช่เพื่อเป็นรัฐสำหรับพลเมืองทุกคนที่อาศัยอยู่ในนั้นไม่ว่าจะเป็นยิวหรือมิใช่ยิว หากแต่เป็นรัฐที่ชาวยิวทุกคนจากทั่วโลกสามารถที่จะมาเป็นพลเมืองได้ ดังนั้น เมื่อรัฐอิสราเอลได้ถูกสถาปนาขึ้นเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 1948 มันก็จึงเลี่ยงไม่ได้ที่สภาคเนสเซ็ตซึ่งเป็นองค์กรนิติบัญญัติจะต้องกำหนดไว้ในกฎหมายว่าใครที่จะมีคุณสมบัติเป็นพลเมืองที่แท้จริงและใครที่มิใช่ นั่นคือผู้ที่มิใช่ยิวโดยทั่วและชาวอาหรับปาเลสไตน์โดยเฉพาะ ใน ค.ศ.1950 สภาคเน็สเซ็ทของอิสราเอลได้ผ่านกฎหมายออกมาสองฉบับ ฉบับแรกคือกฎหมายว่าด้วยการกลับคืน (the Law of Return) ซึ่งกำหนดขอบเขตการรวมไว้ว่า “ชาวยิวทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอพยพเข้ามายังประเทศ” และอีกฉบับหนึ่งคือกฎหมายทรัพย์สินของ “ผู้ที่ไม่อยู่” ซึ่งกำหนดขอบเขตของการแบ่งแยกไว้
ภายใต้กฎหมายสองฉบับนี้ ยิวทุกคนจากทั่วโลกมีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะมาเป็นพลเมืองของรัฐอิสราเอลโดยการอพยพเข้ามาในประเทศในขณะที่ประชาชนประมาณ 2 ล้านคนซึ่งเป็นชาวอาหรับปาเลสไตน์และลูกหลานที่ต้องหลบลี้หนีภัยไปเพราะสงครามในปี ค.ศ.1948-4949 และ 1967 ไม่มีสิทธิ์ในการเป็นพลเมือง อย่างไรก็ตาม สิทธิการอพยพกลับสู่มาตุภูมิของคนเหล่านี้ก็ได้รับการยอมรับในกฎหมายระหว่างประเทศและในมติของสหประชาชาติหลายครั้งหลายคราว (โดยเริ่มตั้งแต่มติที่ 194 (3) เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 1948) มติเหล่านี้ยังคงมีอยู่อย่างชัดเจน แต่ในกฎหมายอิสราเอลก็ยังระบุว่าชาวอาหรับปาเลสไตน์

"ไม่มีอยู่” และถูกกฎหมายแบ่งแยกออกมาจากการเป็นพลเมือง
กฎหมายว่าด้วยการกลับคืน (1950) เป็นรากฐานของกฎหมายสัญชาติอิสราเอล (1952) แต่หลังจากนั้น กฎหมายดังกล่าวนี้ก็ถูกแก้ไขจนกลายเป็นไม่เพียงชาวปาเลสไตน์ที่มิใช่ยิวเท่านั้นที่มีไม่มีสิทธิ์เป็นพลเมืองอิสราเอล แม้แต่ชาวอาหรับปาเลสไตน์ที่ไม่อยู่ก็ไม่มีสิทธิ์ในการเป็นพลเมืองด้วยเช่นกัน นอกจากนี้แล้วก็ยังมีชาวยิวอีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกแยกออกไปมิให้มีสิทธิ์เป็นพลเมืองอิสราเอลด้วย นั่นคือชาวยิวที่เกิดจากแมที่มิใช่ยิว ชาวยิวที่เกิดจากแม่ชาวยิวแต่หันไปรับนับถือศาสนาอื่นและผู้ที่มิใช่ยิวแต่ได้หันมานับถือศาสนายูดายโดยพวกแร็บไบอนุรักษ์หรือแรบไบปฏิรูป (เฉพาะผู้ที่ทำพิธีเข้ารับนับถือศาสนายูดายตามวิธีการของพวกออร์โธดอกซ์เท่านั้นที่จะได้รับการยับรอบในอิสราเอล) ส่วนคำถามที่ว่า “ใครคือยิว” นั้นได้สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่การดำเนินการทางการเมืองและทางกฎหมายของอิสราเอลมาตั้งแต่กฎหมายการกลับคือฉบับ ค.ศ.1950 ได้ผ่านออกมาแล้ว อากิวา ออร์ ได้เขียนไว้ว่า :
“ประการแรก ลัทธิไซออนิสม์มิได้เชื่อในการมีอยู่ของพระเจ้า ขบวนการนี้มิใช่ขบวนการทางศาสนา….. ลัทธิไซออนิสม์ยืนยันว่าความทุกข์ยากลำบากที่ต้องระหกระเหินอยู่ในต่างแดนนั้นเป็นผลเนื่องมาจากฐานะการเป็นชนกลุ่มน้อย ลัทธิไซออนิสม์สอนว่าชาวยิวจะต้องสร้างรัฐของตนเองขึ้นมาในไซออนขึ้นมาเองดีกว่าที่จะมอรอพระเจ้าสร้างให้ ประการสุดท้าย ลัทธิไซออนิสม์โต้แย้งว่าเมื่อเอกราชของชาวยิวถูกฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ชาวยิวก็จะกลายเป็นชาติหนึ่งเหมือนกับชาติอื่น” (Orr, The Unjewish State, หน้า 6)

แต่กระนั้นก็ตาม โดยกำหนดกฎเกณฑ์ทางด้านประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมา รัฐอิสราเอลก็ยังเป็นรัฐที่มีความเชื่อทางศาสนา การแต่งงานกันเองในหมู่ประชาชนไม่เป็นที่อนุญาตภายใต้กฎหมายอิสราเอลและการแต่งงานจะเป็นที่ยอมรับก็ว่าถูกต้องตามกฎหมายก็ต่อเมื่อพิธีกรรมแต่งงานกระทำโดยผู้มีอำนาจทางศาสนา เช่น แรบไบ หรือโดยนักบวชคริสเตียนหรือโดยศาลชะรีอ๊ะฮ์เท่านั้น การหย่าก็เช่นเดียวกัน ภายใต้กฎหมายอิสลาม (อำนาจทางกฎหมายของศาลแรบไบในเรื่องการแต่งงานและการหย่า ค.ศ.1953 ศาลศาสนาคือศาลของรัฐและผู้ตัดสินปัญหาทางด้านศาสนาจะได้รับเงินเดือนจากรัฐ

ปัญหาเรื่องที่ว่า “ใครคือชาวอิสราเอล”ในรัฐอิสราเอลเป็นสิ่งที่สร้างความยุ่งยากเป็นอย่างมากในทางด้านการเมืองและกระบวนการนิติบัญญัติ จะเห็นได้ว่า คำว่า “อิสราเอล” และ “ยิว”นั้นมิใช่คำที่มีความหมายเหมือนกัน พลเมืองประมาณ 7 แสนคนจากจำนวนพลเมืองกว่าสี่ล้านคนของอิสราเอล (หรือประมาณ 17 เปอร์เซ็นต์) มิใช่ชาวยิว คนเหล่านี้เป็นชาวอาหรับปาเลสไตน์ เป็นลูกหลานของชาวปาเลสไตน์ที่ยังอยู่อยู่ในแผ่นดินปาเลสไตน์ภายใต้การปกครองของอิสราเอล (ประมาณ 150,000 คนใน ค.ศ.1948-1949) คนเหล่านี้ส่วนใหญ่จะถูกกลไกทางการเมืองและกฎหมายจำแนกแยกแยะเพื่อที่จะระบุใครที่จะได้รับสิทธิพิเศษให้ใช้ทรัพยากรของชาติและทำงานให้พลเมืองชาวยิวและแบ่งแยกว่าใครที่มิใช่ยิวซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นชาวอาหรับปาเลสไตน์
อย่างไรก็ตาม กระบวนการทางกฎหมายของอิสราเอลก็มิได้มุ่งต่อต้านคนที่มิใช่ยิวที่รวมกลุ่มกันเป็นองค์กรทางการเมืองในฐานะที่เป็นพลเมืองของรัฐยิว แต่ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ กระบวนการทางกฎหมายของอิสราเอลนั้นมุ่งต่อต้านคนที่มิใช่ยิวซึ่งถูกแยกออกไปอยู่ในฐานะ “ผู้ไม่อยู่” คนเหล่านี้ได้แก่ชาวอาหรับปาเลสไตน์จำนวนสองล้านคนที่ถูกเรียกว่า “ผู้อพยพ”


 ดังนั้น ยิวอิสราเอลแต่ละคนจึงมีเงาอยู่หนึ่งเงา นั่นคือ ผู้อพยพชาวอาหรับปาเลสไตน์เมื่อปี ค.ศ.1948 บ้านของชาวอิสราเอลถูกสร้างขึ้นบนซากปรักหักพักของบ้านของพวกเขาและพวกยิวอิสราเอลเพาะปลูกบนแผ่นดินของพวกเขา
ปัจจุบันผู้อพยพชาวอาหรับปาเลสไตน์เมื่อปี ค.ศ.1948 เป็นทหารในกองทัพปลดปล่อยปาเลสไตน์ หรือที่เรียกว่า “ฟิดาอี” แน่นอน ในสถานการณ์เช่นนั้น มนุษย์ทุกคนต้องลุกขึ้นต่อสู้และต้องเป็นกบฏเพื่อให้โลกได้รู้ถึงการมีอยู่ของพวกตน เพื่อเรียกร้องสิทธิของตนเองกลับคืนมา และถ้าหากว่าจำเป็นก็ต้องใช้อาวุธภายในทุกส่วนของมาตุภูมิที่ตัวเองถูกแบ่งแยกกีดกัน และในการต่อสู้นี้ ชาวอาหรับปาเลสไตน์สมควรที่จะได้รับการสนับสนุนทางด้านศีลธรรมและวัตถุอย่างเต็มที่จากเรา

 อิสราเอล : ฆาตกรสังหารหมู่เป็นผู้นำรัฐ

นายแอเรียล ชารอน นายกรัฐมนตรีอิสราเอลคือหนึ่งในบรรดาผู้ก่อการร้ายที่เปื้อนเลือดมากที่สุด เขาเป็นผู้รับผิดชอบต่อการสังหารคนอย่างเลือดเย็นอย่างน้อยที่สุด 1,500 คนทั้งผู้หญิงและเด็กในค่ายผู้อพยพชาติลลาและซาบราในเบรุต แม้แต่คณะกรรมาธิการอิสราเอลที่ตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการก็พบว่าชารอนเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงต่อการสังหารหมู่ชาวเลบานอน (4)

ใน ค.ศ.1982 ในฐานะที่เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายชารอนได้สั่งทหารบุกเลบานอนและได้สิ่งทิ้งระเบิดปูพรมเมืองเบรุต (การโจมตีเลบานอนครั้งนั้นมีผู้หญิงและเด็กเสียชีวิตมากกว่าการโจมตีนิวยอร์คเมื่อเดือนกันยายน) การทิ้งระเบิดอย่างโหดเหี้ยมนี้กระทำโดยการที่พวกยิวใช้เครื่องบินรบและระเบิดที่สหรัฐส่งให้

หลังจากที่ทำลายล้างและเข้าไปยึดครองแล้ว ชารอนก็ได้ผลักดันนักรบปาเลสไตน์ออกไปจากเลบานอน ผู้หญิง เด็กและคนแก่ชาวปาเลสไตน์ถูกทิ้งไว้ในค่ายผู้อพยพใกล้เบรุต สหรัฐได้ให้หลักประกันความปลอดภัยของคนเหล่านี้ต่อสาธารณชนและสัญญาว่าพวกเขาจะได้กลับไปอยู่ร่วมกับคนที่พวกเขารักอีกครั้งหนึ่ง เมื่อชารอนวางแผนการสังหารพวกเขา เขาไม่เพียงแต่จะวางแผนสังหารผู้อพกยพเหล่านี้อย่างเลือดเย็นเท่านั้น เขารู้ดีว่าการกระทำของเขาเป็นการทรยศต่อสหรัฐฯซึ่งจะสร้างความเกลียดชังอย่างที่สุดให้แก่อเมริกา

ในคืนวันที่ 16 กันยายน 1982 ชารอนได้ส่งหน่วยฆาตกรฟาลังกิสต์ไปที่ค่ายผู้อพยพสองแห่ง คือ ค่ายชาติลลาและซาบรา รถถังและทหารของอิสราเอลได้ปิดล้อมค่ายผู้อพยพทั้งสองไว้มิให้ชาวปาเลสไตน์คนใดหลบหนีไปได้ หลังจากนั้น พวกฆาตกรก็ระดมยิง ใช้ดาบปลายปืนเข้าจ้วงแทงและใช้กระบองตี

 

พลเมืองชาวปาเลสไตน์ตลอดทั้งคืนจนถึงรุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งโดยที่พวกอิสราเอลที่ปิดล้อมค่ายนิ่งฟังเสียงปืนและเสียงหวีดร้องที่ดังออกมาจากในค่าย หลังจากนั้น นายชารอนก็ได้ส่งรถไถเข้าไปไถกลบเพื่อปกปิดการเข่นฆ่าสังหารให้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ อย่างน้อยที่สุด ชาวปาเลสไตน์ท้งผู้ชาย ผู้หญิงและเด็ก 1,500 คนได้ถูกฆ่าอย่างทารุณ บางทีอาจจะมากถึง 2,500 คนก็ได้ (การสอบสวนของเจ้าหน้าที่เลบานอนตั้งตัวเลขไว้ที่ 2,500 คน) ถึงแม้นายชารอนจะพยายามใช้รถบุลโดเซอร์ไถกลบ แต่ก็ยังมีชาวปาเลสไตน์อีกหลายคนที่ยังไม่ได้ถูกฝัง และเจ้าหน้าที่กาชาดได้พบศพของหลายครอบครัวรวมทั้งคนแก่และเด็กอีกนับร้อยคนที่ถูกเชือดคอหรือไม่ก็ถูกแทงจนไส้ทะลักออกมา นอกจากนี้ก็มีผู้หญิงและเด็กผู้หญิงอีกมากมายที่ถูกข่มขืนก่อนถูกฆ่า

 

 

 







Copyright © 2010-2011 All Rights Reserved.
https://www.facebook.com/proconsmicropiles