ถ้าหากอุซามะฮ์ บินลาดินเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังการโจมตีตึกเวิร์ลเทรดเซนเตอร์ซึ่งทำให้คนอเมริกันนับพันคนต้องเสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 กันยายนผมก็เหมือนกับคนอเมริกาส่วนใหญ่ที่ต้องการให้เขาได้รับการลงโทษสูงสุดสำหรับอาชญากรรมที่เขาได้ทำไป ไม่มีใครหรือชาติใดที่ก่อการร้ายต่อเมริกาควรจะรอดพ้นไปจากการลงโทษ แต่ผมกำลังทำแถลงการณ์ฉบับหนึ่งที่อาจทำให้พวกท่านต้องตกตะลึง ถ้าหากท่านเห็นด้วยว่าคนที่ปฏิบัติการก่อการร้ายต่ออเมริกาจะต้องถูกลงโทษแล้ว อเมริกาก็ควรจะต้องจัดอิสราเอลไว้ในอันดับแรก เพราะในบทความนี้ ผมจะพิสูจน์ให้เห็นว่าอิสราเอลได้เจตนาก่อการอาชญากรรมอย่างชั่วร้ายและทรยศต่ออเมริกา การก่อการร้ายและการทรยศต่ออเมริกาของอิสราเอลไม่เพียงแต่จะหลุดรอดไปจากการถูกลงโทษเท่านั้น แต่ยังได้รับการตอบแทนรางวัลจากพวกนักการเมืองที่ทรยศต่อสหรัฐฯด้วย ผมจะแสดงให้เห็นว่าในครึ่งศตวรรษที่ผ่านมา อิสราเอลได้กระทำการก่อการร้ายอย่างต่อเนื่องมายิ่งกว่าชาติอื่นใดในโลก หลังจากนั้น ผมจะเปิดโปงการก่อการร้ายและการทรยศต่อสหรัฐฯอเมริกาของอิสราเอล และท้ายที่สุด ผมจะแสดงให้เห็นความจริงที่ต้องตกตะลึงซึ่งจะพิสูจน์ให้เห็นว่าอิสราเอลจงใจให้คนอเมริกันนับพันต้องเสียชีวิตเมื่อวันที่ 11 กันยายน
ทำไมอเมริกาจึงได้ถูกโจมตี ?
ไม่มีใครโต้แย้งว่าถ้าหากบินลาดินอยู่เบื้องหลังความน่าสะพรึงกลัวในการโจมตีตึกเวิร์ลเทรด ไม่ว่าเขาจะมีแรงจูงใจอะไรก็ตาม เขาก็สมควรที่จะต้องถูกลงโทษในความผิดที่ฆ่าคนผู้บริสุทธิ์นับพันคน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องน่ากลัวเหมือนกันที่เรารู้ว่าทำไมบินลาดินและคนอื่นๆอีกหลายล้านคนทั่วโลกเกลียดอเมริกา ทำไมหลายคนถึงเต็มใจที่จะเสี่ยงหรือแม้แต่จะเสียสละชีวิตของพวกเขาเพื่อทำร้ายเรา ? ผมหวังเหลือเกินว่าไม่มีใครที่อ่านสิ่งนี้จะไร้เดียงสาจนเชื่อว่าคนหลายล้านคนที่เกลียดอเมริกานั้นเกลียดเพราะว่าเราเป็น"อิสระ"เรื่องตลกเช่นนั้นจะต้องเป็นความคิดที่น่าขบขันที่สุดที่คนอเมริกันเคยรู้จัก
เพื่อที่จะยุติการข่มขู่คุกคามของลัทธิก่อการร้ายต่อคนอเมริกันนั้น เราจะต้องรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงว่าทำไมเราจึงเป็นที่จงเกลียดจงชัง เทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้การสังหารหมู่และลัทธิก่อการร้ายเป็นเรื่องง่ายจนใครก็สามารถทำได้ มันไม่สามารถที่จะหยุดยั้งได้ด้วยกำลังทหาร ความจริงแล้ว แม้แต่การใช้กำลังทหารอย่างรุนแรงที่เรากำลังกระทำอยู่ในอาฟกานิสถานนั้นดูเหมือนว่าจะกวาดล้างการก่อการร้ายไปได้ แต่มันกลับทำให้ความเกลียดชังอเมริกาเพิ่มมากขึ้นจนก่อให้เกิดผู้ก่อการร้ายใหม่พันคนขึ้นมาแทนผู้ก่อการร้ายแต่ละคนที่เราได้ฆ่าไป
ผมยังสงสัยในอัตราส่วนการฆ่าในอาฟกานิสถานว่าเป็นอย่างไร บางทีสมาชิกของเครือข่ายอัล-กออิด๊ะฮถูกฆ่าไปหนึ่งคนต่อทหารและพลเรือนอาฟกัน 10 คนที่พยายามจะหลบหนีเอาตัวรอดเหมือนกับพวกเราที่เหลือ หรือบางทีอาจจะเป็นผู้ก่อการร้าย 1 คนต่อชาวอาฟกันหนึ่งร้อยคน ผมสงสัยว่าบางทีตัวเลขที่แท้จริงอาจจะมากกว่านั้นอีก คือ คนที่มิใช่ผู้ก่อการร้ายตายไป 1,000 คนต่อชีวิตของผู้ก่อการร้ายที่แท้จริงหนึ่งคนที่อาจสร้างความยุ่งยากให้อเมริกา
เราน่าที่จะกล้าหาญพอที่จะพิจารณาเหตุผลที่เป็นไปได้ว่าทำไมถึงได้มีหลายคนเกลียดชังเรา ต่อเมื่อเรามีข้อเท็จริงทั้งหมดแล้วนั่นแหละ มิใช่มานั่งพล่ามกันว่า “พวกเขาโจมตีเสรีภาพ” เราจึงจะสามารถหาทางที่ดีที่สุดเราจะสามารถคุ้มครองประชาชนของเราในอนาคตได้
ทีนี้ เราจะจำกัดความคำว่า “โจมตีเสรีภาพของ อเมริกา”กันอย่างไร ? ผมอยากจะกล่าวว่า “การโจมตีเสรีภาพ”ที่แท้จริงก็คือการเห็นคำประกาศเรื่องสิทธิและรัฐธรรมนูญของสหรัฐเป็นสิ่งเหลวไหล คำแปรญัติ 10 ข้อคือแก่นของสิ่งที่เสรีภาพของอเมริกาเป็นอยู่จริงๆ ยอร์จ บุชและสภาคองเกรสที่มีทั้งกระบอกเสียง พระราชบัญญัติรักชาตินั้นทำลายเสรีภาพทางรัฐธรรมนูญของเรามากกว่าที่บินลาดินทำเสียอีก
เหตุผลที่แท้จริงที่เราต้องได้รับเคราะห์จากลัทธิก่อการร้าย
เหตุผลที่แท้จริงที่เราต้องได้รับเคราะห์จากลัทธิก่อการร้ายที่โจมตีตึกเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์นั้นง่ายจนน่าตกใจ
นักการเมืองอเมริกันหลายคนเป็นกบฏทรยศต่อคนอเมริกันโดยการหลับหูหลับตาสนับสนุนชาติผู้ก่อการร้ายชั้นนำบนโลก นั่นคือ อิสราเอล สื่อมวลชนอเมริกันและรัฐบาลไม่สามารถมีได้ทั้งสองทาง ถ้าหากพวกเขาถูกชักนำให้โจมตีอาฟกานิสถานเพราะให้ความช่วยเหลือผู้ก่อการร้ายแล้ว แน่นอน ชาวปาเลสไตน์บางคนก็พบแรงจูงใจที่จะโจมตีอเมริกาที่ให้ความช่วยเหลือและการสนับสนุนทางทหารแก่อิสราเอลซึ่งเป็นชาติที่ก่อการร้ายต่อพวกเขามาโดยไม่หยุดหย่อนด้วยเช่นกัน
ผู้ทรยศต่อสหรัฐฯได้ปล่อยให้ชาติก่อการร้ายชาติหนึ่งเข้าควบคุมรัฐบาลสหรัฐฯ ผู้อ่านบางคนอาจคิดว่ามันเรื่องวิปลาศสำหรับผมที่ออกมากล่าวว่าต่างชาติได้ควบคุมอเมริกา แต่ลองพิจารณาความจริงที่นายวิลเลียม ฟุลไบรท์อดีตประธานกรรมาธิการความสัมพันธ์ต่างประเทศของวุฒิสามาชิกสหรัฐฯได้กล่าวไว้ เขากล่าวยืนยันในรายการโทรทัศน์ “เฟส เดอะ เนชั่น” ของเอบีซีว่า “อิสราเอลคาบคุมวุฒิสมาชิกสหรัฐฯ”(1) และวุฒิสมาชิกฟุลไบรท์ไม่ใช่หุ่นเชิด ชื่อของเขาต่างหากที่นักศึกษาหัวดีที่สุดพยายามที่จะตะเกียกตะกายเพื่อให้ได้ทุนการศึกษาที่มีชื่อว่า “ฟุลไบรท์” ไม่เพียงแต่วุฒิสมาชิกฟุลไบรท์เท่านั้นที่กล้าพูดเช่นนี้ แม้แต่ยอร์จ บราวน์อดีตประธานเสนาธิการร่วมและอีกหลายคนก็พูดอย่างนี้เช่นกัน
เราสามารถกล่าวเราไม่อาจที่จะให้สภาคองเกรสไปสับสนุนโครงการเช่นนี้ (ของอิสราเอล) และพวกเขากล่าวว่าไม่ต้องไปกังวลเรื่องสภาคองเกรส เราจะดูแลสภาคองเกรสเอง นี่เป็นคนจากประเทศอื่น แต่พวกเขาสามารถทำได้ คุณรู้ไหม พวกเขาเป็นเจ้าของธนาคาร หนังสือพิมพ์ในประเทศของเรา เพียงแต่ดูว่าเงินของพวกยิวอยู่ที่ไหน (2) (นายพล ยอร์จ เอส. บราวน์ อดีตประธานเสนาธิการร่วม)
แน่นอน นายพลบราวน์เข้าใจถึงอย่างแท้จริงถึงการควบคุมสื่ออเมริกันของพวกยิว มันเป็นเรื่องจริงที่ว่าพวกยิวได้ควบคุมหนังสือพิมพ์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอเมริการวมทั้งหนังสือพิมพ์สามอันดับสุดยอด นั่นคือ นิวยอร์คไทม์ส, วอชิงตันโพสต์และวอลสตรีท เจอร์นัลด้วย นอกจากนี้แล้วพวกเขายังเป็นเจ้าของนิตยสารสุดยอดนิยมสามอันดับ คือ ไทม์, นิวสวีคและยู.เอส.นิวส์แอนด์เวิร์ล รีพอร์ตอีกด้วย แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือพวกเขาเข้าไปครอบครองสื่อโทรทัศน์และวิทยุ รวมทั้งการรวมตัวกันของสองบริษัทสื่อมวลชนรายใหญ่ที่สุดคือไทม์-วอร์เนอร์และดิสนีย์ซึ่งทำให้คนพวกนี้สามารถเข้าไปควบคุมผู้บริหารข่าวของสามเครือข่ายสำคัญ นั่นคือ เอบีซี, ซีบีเอสและเอ็นบีซีอีกด้วย การควบคุมสื่อโดยพวกที่นิยมอิสราเอลเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะต้องพูดถึง แต่ถ้าหากคุณต้องการจะได้เอกสารที่สมบูรณ์ก็ให้เข้าไปที่เวปไซต์ www. davidduke.com และเข้าไปดูที่บทหนึ่งจาก My Awakening ที่เรียกว่า “Who runs the Media” พวกสื่อที่นิยมอิสราเอลสุดกู่นี้เองคือเหตุผลที่ว่าทำไมชาวอเมริกันส่วนใหญ่จึงไม่รู้เรื่องบันทึกการก่อการร้ายของอิสราเอล ทั้งหมดที่บทความชิ้นนี้ต้องการจะทำก็คือการใช้เข็มเล็กๆแทงเข้าไปที่ลูกโป่งการโฆษณาชวนเชื่อของอิสราเอล
ผมจะนำหลักฐานเอกสารมาแสดงให้คุณได้เห็นว่าในระหว่าง 50 ปีที่ผ่านมา อิสราเอลได้ก่อการร้ายมากกว่าชาติอื่นใดในโลก และจะแสดงให้เห็นว่าโดยการสนับสนุนพฤติกรรมอาชญากรของประเทศนี้เองที่อเมริกากำลังเก็บเกี่ยวความเกลียดชังอย่างรุนแรงของคนทั่วโลกนับร้อยล้านคน การสนับสนุนลัทธิก่อการร้ายของอิสราเอลมีส่วนโดยตรงที่นำลัทธิก่อการร้ายมายังสหรัฐฯในขณะนี้ ชาวอเมริกันส่วนใหญ่ไม่รู้ถึงความรุนแรงและขอบข่ายของลัทธิก่อการร้ายของอิสราเอลก็เพราะการควบคุมสื่อของพวกยิวดังที่นายพลบราวน์ได้กล่าวไว้ ตัวอย่างที่ชัดเจนของอำนาจสื่อที่เชื่อถือไม่ได้ก็คือความสามารถในการโกหกคำโตว่าเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์ไม่มี่อะไรเกี่ยวข้องกับอิสราเอล การที่พวกโจมตีแบบกามิกาเซ่เกลียดและโจมตีอเมริกาก็เพราะเรามี “เสรีภาพ”
โคตรโกหก..!!
สื่อมวลชนอเมริกันที่ถูกพวกยิวครอบงำและนักการเมืองที่อยู่ภายใต้การควบคุมของอิสราเอลไม่ต้องการให้คนอเมริกันรู้ว่าอเมริกาต้องหลับหูหลับตาจ่ายเงินสนับสนุนอิสราเอลไปมากแค่ไหน หลังจากการโจมตีเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2001 แม้แต่ประธานาธิบดีบุชเองก็พูดคำโกหกไร้เหตุผลครั้งแล้วครั้งเล่าโดยกล่าวหาว่าการโจมตีเกิดขึ้นเพราะพวกเขาเกลียดความจริงที่ว่าเรามีเสรีภาพ ถ้าหากว่าบินลาดินอยู่เบื้องหลังการก่อการร้ายดังที่สื่อพูดแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าการโจมตีเกิดขึ้นมิใช่เพราะเขาเกลียดเสรีภาพ เพราะเมื่อสามปีก่อนหน้านี้ โทรทัศน์เอบีซีและพีบีเอสฟรอนท์ไลน์ได้สัมภาษณ์บินลาดินในสมัยรัฐบาลคลินตัน บินลาดินได้พูดไว้อย่างชัดเจนว่าทำไมเขาถึงคัดค้านอเมริกา
“พวกเขา(อเมริกา)ได้ปล่อยให้ตัวเองขึ้นอยู่กับความเมตตาของรัฐบาลที่ไม่จงรักภักดี….มันเป็นอิสราเอลในอเมริกา ลองดูพวกรัฐมนตรีท่มีความสำคัญๆอย่างเช่นรัฐมนตรีต่างประเทศและรัฐมนตรีกลาโหมและซีไอเอ คุณจะพบว่าพวกยิวล้วนมีอำนาจอยู่ในหน่วยงานเหล่านี้ทั้งสิ้น พวกเขาใช้อเมริกาเพื่อดำเนินแผนการต่อโลก…
กว่าครึ่งศตวรรษมาแล้ว มุสลิมในปาเลสไตน์ได้ถูกพวกยิวเข่นฆ่าสังหารและปล้นเกียรติยศและทรัพย์สินของพวกเขา บ้านของพวกเขาถูกระเบิด พืชผลของพวกเขาถูกทำลาย…นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะบอกคนอเมริกันให้มองหารัฐบาลที่ดูแลผลประโยชน์ของพวกเขา มิใช่ไปโจมตีแผ่นดินของคนอื่นหรือเกียรติยศของคนอื่น…” (3)
แต่ถึงแม้จะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ก่ออาชญากรรม บินลาดินก็ไม่เคยกล่าวคำพูดต่อต้านประชาธิปไตยตลอดชีวิตของเขา สื่อได้สร้างเรื่องโกหกเกี่ยวกับการโจมตีประชาธิปไตยเพื่อซ่อนเร้นความจริงที่ว่าอเมริกาถูกโจมตีเพื่อเป็นการโต้ตอบที่รัฐบาลอเมริกาให้การสนับสนุนนโยบายก่อการร้ายของอิสราเอลในตะวันออกกลาง การพร้อมใจกันของสื่อในการโฆษณาชวนเชื่อคำโกหกนี้โดยไม่มีการขัดแย้งกันนั้นควรที่จะทำให้คนที่มีความคิดสงสัยว่าคนอเมริกันมิได้รับความจริงทั้งหมดจากสื่อ ประการแรก ขอให้เรามาดูการก่อการร้ายของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์
ที่มา : โดย เดวิด ดุค ประธานแห่งชาติ องค์การเอกภาพและสิทธิยุโรป-อเมริกา แปลโดย บรรจง บินกาซัน Source: Thaimuslimshop.com , Davidduke.com