นายแอเรียล ชารอนกำลังถูกตามตัวเพื่อสอบสวนโดยคณะตุลาการกรุงเฮกซึ่งเป็นองค์เดียวที่ประสบผลสำเร็จในการนำตัวนายสโลโบดัน มิโลโซวิชอดีตประธานาธิบดีแห่งยูโกสลาเวียมาพิจารณาตัดสินในข้อหากระทำอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในโคโซโซ นายแอเรียล ชารอนจะไม่เดินทางมาเบลเยี่ยมเพราะกลัวถูกศาลระหว่างประเทศจับกุมในข้อหาสังหารหมู่ (5) ถึงแม้เขาจะถูกติดตามตัวในข้อหากระทำฆาตกรรมที่ค่ายชาติลลาและซาบรา แต่นายชารอนก็สามารถถูกไต่สวนในคดีสังหารหมู่อื่นๆที่เขาได้ทำไว้อีกนับสิบครั้งในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ อาชญากรรมต่อมนุษย์ของเขานั้นอย่างน้อยที่สุดก็สามารถย้อนไปถึงปี ค.ศ. 1953 ซึ่งในปีนั้น “ทหารของพันเอก แอเรียล ชารอนได้ฆ่าชาวปาเลสไตน์ไป 70 คนในการบุกโจมตีซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้หญิงและเด็ก” (6)
อเมริกาที่เรียกร้องคณะตุลาการแห่งกรุงเฮกให้จัดกุมตัวและตัดสินนายมิโลเซวิชได้แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องการสังหารหมู่ของนายชารอน แทนที่จะส่งตัวนายชารอนและส่งตัวเขาไปกักขังไว้ ประธานาธิบดีบุชกลับจับมือทักทายและสวมกอดเขา โลกจะต้องหัวเราะด้วยความไม่เชื่อเมื่อบุชพูดถึงชารอนว่า “กำลังต่อสู้กับลัทธิก่อการร้าย”
ถ้าหากประธานาธิบดีบุชเอาจริงกับการลงโทษชาติที่สนับสนุนหรือให้ที่พักแก่ผู้ก่อการร้าย เขาจะต้องเริ่มต้นที่อิสราเอลชาติที่เลือกตั้งผู้ก่อการร้ายที่เลวที่สุดและฆาตกรสังหารหมู่ขึ้นมาเป็นผู้นำของรัฐ วุฒิสภาที่ถูกอิสราเอลควบคุมของอเมริกาลงโทษอิสราเอลในการให้ที่พักพิงแก่ผู้ก่อการร้ายหรือไม่ ? ไม่เลย แทนที่จะลงโทษ เรากลับนำเอาเงินภาษีของชาวอเมริกันนับพันล้านดอลล่าร์และอาวุธของเราไปให้อิสราเอลเพื่อใช้ในการฆ่า
การสังหารผู้อพยพชาวปาเลสไตน์ของอิสราเอลหลังจากที่สหรัฐได้ประกันความปลอดภัยต่อสาธารณชนอย่างเปิดเผยนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นการทรยศต่ออเมริกาด้วย นายชารอนและคนอื่นๆที่เกี่ยวข้องล้วนรู้ดีถึงคำสัญญาให้ความปลอดภัยแก่ผู้อพยพของอเมริกา
การสังหารหมู่ผู้อพยพที่ค่ายชาติลลาและซาบราในเบรุตเป็นสิ่งจูงใจสำคัญที่ทำให้มีการใช้ระเบิดพลีชีพโจมตีซึ่งทำให้ทหารนาวิกโยธินอเมริกันจำนวน 241 คนต้องเสียชีวิตในเบรุตหลังจากนั้นไม่ถึงปี และมันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าการสนับสนุนลัทธิก่อการร้ายของ อเมริกาได้นำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับสหรัฐอย่างไร หนังสือพิมพ์ลอสแองเจลิส ไทม์สได้พูดถึงหนังสือเล่มหนึ่งซึ่งเขียนโดยอดีตสายลับมอสซาดเปิดโปงให้เห็นว่าหน่วยสืบราชการลับมอสซาดของอิสราเอลรู้ล่วงหน้าถึงการโจมตีค่ายนาวิกโยธินในเลบานอนเมื่อปี 1983 แต่มอสซาดกลับไม่เตือนให้อเมริกาทราบ (7)
คำกล่าวหาที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นของออสโตรฟสกี้ก็คือมอสซาดไม่ได้ส่งข่าวลับให้สหรัฐซึ่งอาจจะป้องกันการบุกโจมตีค่ายนาวิกโยธินเบรุตเมื่อปี 1983 อันเป็นเหตุให้ทหารสหรัฐ 241 คนต้องเสียชีวิต…..
อิสราเอล : ก่อตั้งขึ้นมาโดยการก่อการร้ายต่ออังกฤษและปาเลสไตน์
ในความพยายามที่จะเข้าไปเอาการควบคุมปาเลสไตน์มาจากการควบคุมของอังกฤษ พวกไซออนิสต์ได้ก่อการร้ายขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การวางระเบิดโรงแรมคิงเดวิดซึ่งทำให้คนเสียชีวิต 93 คน พวกไซออนิสต์ได้สังหารเจ้าหน้าที่และทหารอังกฤษอย่างโหดเหี้ยมและลอบสังหารทุกคนที่ขัดขวางพวกตนรวมทั้งท่านเคาน์ต โฟล์ก เบอร์นาโดต์ ตัวแทนเจรจาของสหประชาชาติที่โลกให้ความเคารพด้วยทั้งนี้เพราะท่านเคาน์ตกล้าที่จะบอกโลกให้รู้ถึงความเป็นผู้ก่อการร้ายและการกระทำอาชญากรรมของพวกไซออนิสต์ วิธีการที่พวกผู้ก่อการร้ายกลุ่มอีร์กุนและกลุ่มเสติร์นชอบใช้กันก็คือการลักพาตัวทหารอังกฤษและทรมานคนเหล่านั้นให้ตายอย่างช้าๆ นอกจากนี้แล้ว อิสราเอลยังเป็นชาติแรกที่ใช้เทคนิคการก่อการร้ายสมัยใหม่ด้วยการส่งระเบิดทางจดหมาย หลายปีที่ผ่านมา คนพวกนี้ได้ส่งจดหมายประเภทนี้ไปฆ่าศัตรูของตนหลายคนและทำให้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอีกมากมายต้องล้มตายลงไปด้วย การก่อการร้ายด้วยการส่งจดหมายที่มีเชื้อโรคแอนแธรกซ์ก็เป็นวิธีการที่แตกแขนงออกมาจากการส่งระเบิดทางจดหมาย
ความหฤโหดที่ดีร์ยาซีน
แน่นอน ตลอดครึ่งศตวรรษนี้ ชาวปาเลสไตน์ได้ตกเป็นเหยื่อรายใหญ่ที่สุดของความหฤโหดของอิสราเอล ความจริงแล้ว อิสราเอลได้แยกรัฐของตัวเองออกมาจากปาเลสไตน์โดยการใช้นโยบายสังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ โดยวิธีการนี้เองที่พวกอิสราเอลได้ขับไล่ชาวปาเลสไตน์ 800,000 คนออกไปจากบ้าน ธุรกิจและฟาร์มของพวกเขา (9) ในหนังสือเรื่อง The Revolt (10) นายเมนาเฮม เบกิน อดีตนายกรัฐมนตรีของอิสราเอลได้คุยโอ่เกี่ยวกับบทบาทของเขาในการสังหารหมู่ชาวปาเลสไตน์ 254 คนที่ดีร์ยาซีน (เหยื่อส่วนใหญ่เป็นคนแก่ ผู้หญิงและเด็กที่ยังคงอยู่ในหมู่บ้านที่ถูกอิสราเอลยึดครอง) ในหนังสือเล่มนี้ นายเบกินได้ชี้ว่าดีร์ยาซีนและการสังหารหมู่อื่นๆได้สร้างความตื่นตระหนกขึ้นในหมู่ผู้อยู่อาศัย และทำให้คนเหล่านั้นหนีออกจากบ้านของตัวเองด้วยความหวาดกลัว การเจตนาสังหารหมู่นี้ได้ทำให้พวกไซออนิสต์สามารถเข้าควบคุมปาเลสไตน์เอาไว้ได้ และควรจะทราบไว้ด้วยว่าผู้อพยพยังคงไม่ได้รับอนุญาติให้กลับบ้านหลังจากที่เวลาได้ผ่านไปกว่าครึ่งศตวรรษ
พวกไซออนิสต์ได้ทำอะไรไว้ที่ดีร์ยาซีนและที่หมู่บ้านอื่นๆอันเป็นสาเหตุให้ชาวปาเลสไตน์ต้องหลบหนีไปด้วยความหวาดกลัว ? จาค เดอ เรย์เนียร์ แพทย์กาชาด หัวหน้าตัวแทนของคณะกรรมการระหว่างประเทศของสภากาชาดในเยรูซาเล็มได้เล่าเรื่องราวการฆ่าหมู่อันน่าขนพองสยองเกล้าไว้ในรายงานอย่างเป็นทางการของเขา (11)
เดอ เรย์เนียร์ได้มาถึงหมู่บ้านในวันที่สองและได้เห็นการกวาดล้างที่พวกอิสราเอลได้ทำไว้ มันเป็นการใช้ปืนยิงเข้าใส่ หลังจากนั้นก็ใช้ระเบิดและจบลงด้วยมีด พวกยิวได้ตัดหัวเหยื่อบางคนและและหักแขนหักขาเด็ก 52 คนต่อหน้าต่อตาแม่ของเด็กเหล่านั้น พวกเขาผ่าท้องผู้หญิงมีครรภ์ 25 คนและเชือดเด็กต่อหน้าคนเหล่านั้น
พวกอิสราเอลที่อยู่ที่ดีร์ยาซีนได้ยืนยันความเหี้ยมโหดเหล่านี้ หลังจากที่เกษียณในปี 1972 พันเอกเมียร์ พาเอลนายทหารหน่วยฮากานาห์ของอิสราเอลได้พูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับดีร์ยาซีนไว้ในหนังสือเยดิโอท อาห์โรโนทซึ่งเป็นหนังสือชั้นนำของพวกยิวว่า :
คนของอีร์กุนและเลฮีได้ออกมาจากที่ซ่อนและเริ่มกวาดล้างบ้านต่างๆ พวกเขายิงทุกคนที่เห็นไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงและเด็ก พวกผู้บังคับบัญชามิได้พยายามที่จะหยุดยั้งการสังหารหมู่…พวกเขาได้ถูกนำตัวไปยังบริเวณบ่อดินที่อยู่ระหว่างดีร์ยาซีนและกีวาทชาอูลและถูกฆ่าอย่างเลือดเย็น….(12)
ซวี แอนโครี ผู้บังคับบัญชาของหน่วยฮากานาห์ที่ควบคุมดีร์ยาซีนหลังจากการสังหารหมู่ได้กล่าวไว้ในหนังสือพิมพ์ดาวาร์ของอิสราเอลว่า :
ผมได้เข้าไปในบ้าน 6-7 หลัง ผมได้เห็นผู้หญิงถูกเฉือนอวัยวะเพศและถูกฟันที่ท้องจนเละ จากการดูรัศมีกระสุนบนร่างกาย มันเป็นการฆาตกรรมโดยตรง (13)
พวกคุณเคยเห็นสารคดีโทรทัศน์หรือภาพยนตร์ฮอลลีวูดใดๆเกี่ยวกับความโหดเหี้ยมทารุณของพวกอิสราเอลที่ดีร์ยาซีนหรือการกระทำอันโหดเหี้ยมของอิสราเอลต่อชาวปาเลสไตน์อื่นๆอีกหลายพันครั้งบ้างไหม ? พวกคุณเคยได้ยินเสียงไวโอลินสำหรับยิวที่เป็นเหยื่อของฮิตเลอร์ แต่คุณเคยได้ยินเสียงไวโอลินสำหรับผู้หญิงที่ดีร์ยาซีนซึ่งถูกผ่าท้องแล้วควักลูกของเธอออกมาโดยพวกที่มีอำนาจชาวยิวบ้างไหม ? พวกคุณเคยได้ยินเสียงไวโอลินสำหรับเหยื่อชาวปาเลสไตน์คนอื่นๆอีกนับพันของนายเบกิน นายชามีร์ นายบารัคและนายชารอนไหม ? เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการบันทึกความโหดเหี้ยมต่อชาวปาเลสไตน์ต่อไปอย่างยาวนานของอิสราเอล ดังนั้น อิสราเอลมักจะเลือกผู้ก่อการร้ายและฆาตกรสังหารหมู่ที่ชื่อกระฉ่อนที่สุดขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐของตน
สหรัฐมีหน่วยงานกองหนึ่งในกระทรวงยุติธรรมที่คอยทำหน้าที่ล่าพวกนาซีที่กระทำอาชญากรรมต่อมนุษย์ไว้เป็นการเฉพาะ ในขณะที่อเมริกาติดตามผู้ที่ต้องสงสัยว่าเป็นอาชญากรสงครามชาวเยอรมัน ประธานาธิบดีสหรัฐฯหลายคนกลับจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำให้เกียรติแก่พวกผู้นำชาวยิวหลายคน
นายบุชชอบพูดถึงเรื่องการกวาดล้างผู้ก่อการร้าย แต่การฆ่าหมู่อย่างที่ดีร์ยาซีนมิใช่การกระทำที่ชั่วช้าเลวทรามอย่างสมบูรณ์แบบกระนั้นหรือ ?
ตามที่นายเบกินได้ชี้ไว้ในหนังสือ The Revolt ความเหี้ยมโหดต่อชาวปาเลสไตน์เป็นปัจจัยสำคัญในการสถาปนารัฐอิสราเอล มันได้สถาปนารัฐยิวขึ้นและมันก็ได้สร้างบรรยากาศสำหรับความเหี้ยมโหดต่อชาวปาเลสไตน์อีกต่อไปถึงครึ่งศตวรรษ
ที่มา : โดย เดวิด ดุค ประธานแห่งชาติ องค์การเอกภาพและสิทธิยุโรป-อเมริกา แปลโดย บรรจง บินกาซัน Source: Thaimuslimshop.com , Davidduke.com