52 ปีแห่งความเหี้ยมโหดต่อชาวปาเลสไตน์
นับตั้งแต่ปี 1948 เป็นต้นมา ชาวปาเลสไตน์ต้องเผชิญหน้ากับการก่อการร้ายอย่างต่อเนื่องจากอิสราเอล หมู่บ้านหลายแห่งได้ถูกทำลายและถูกลบออกไปจากแผนที่ บ้านนับหมื่นหลังได้ถูกระเบิด ถูกไถทิ้งหรือถูกระเบิดทิ้งในยามสงบ ผู้ชาย ผู้หญิงและเด็กนับหมื่นคนได้ถูกฆ่า จำนวนมากกว่านี้ที่ต้องตาบอด พิการ เสียโฉมและแขนขาบิดเบี้ยว อีกนับแสนคนต้องถูกจับกุมคุมขังและถูกทรมาน ในการไล่ติดตามขบวนการชาวปาเลสไตน์ที่ต่อต้านการยึดครองของอิสราเอล พวกอิสราเอลไม่เคยอายที่จะทิ้งระเบิดค่ายผู้อพยพที่เต็มไปด้วยผู้หญิงและเด็ก รถถัง เฮลิคอปเตอร์และเครื่องบินขับไล่ของอิสราเอลได้ถูกนำมาใช้เพื่อหย่อนระเบิดหรือยิงขีปนาวุธเข้าไปในใจกลางเพื่อนบ้านของชาวปาเลสไตน์และค่ายผู้อพยพที่แออัดไปด้วยผู้หญิงและเด็ก อาวุธเหล่านี้ไม่สามารถที่จะแยกแยะระหว่างผู้ที่ถูกคิดว่าเป็นผู้ก่อการร้ายหรือเด็กผู้หญิงอายุแปดขวบ อาวุธเช่นนี้สามารถที่จะฆ่าเด็กได้เช่นเดียวกับที่สามารถฆ่าศัตรูของรัฐ
ชาวปาเลสไตน์ที่ถูกสงสัยว่ามีพฤติกรรมต่อต้านการยึดครองของอิสราเอลในฝั่งตะวันตกหรือกาซานั้น บ้านและครอบครัวของพวกเขาได้ถูกโจมตีโดยปืนรถถัง จรวดหรือระเบิดของอิสราเอล และหลังจากที่ผู้ต้องสงสัยถูกฆ่าหรือถูกจับกุมคุมขังแล้ว กองทัพอิสราเอลก็ไถหรือไม่ก็ระเบิดบ้านของพวกเขาทิ้ง บ้านนับพันหลังได้ถูกทำลายไปในลักษณะเช่นนี้
อิสราเอลได้ฆ่าผู้นำชาวปาเลสไตน์ไปนับร้อยคนโดยการลอบสังหารและการโจมตีแบบผู้ก่อการร้าย การโจมตีเช่นนี้มักจะทำให้คนที่ผ่านไปมาต้องเสียชีวิตด้วย หลายคนที่ถูกลอบสังหารไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือความรุนแรงใดๆ พวกเขาเพียงแค่เป็นกวี นักเขียนหรือนักบวชที่อาศัยคำพูดของพวกเขาสร้างแรงบันดาลใจให้เพื่อนร่วมชาติของเขามีความต้องการเสรีภาพ ก่อนหน้านายแอเรียล ชารอน นายกรัฐมนตรีของอิสราเอลคือนายเอฮุด บารัค ในปี 1972 ในช่วงที่อิสราเอลมีสันติภาพกับเลบานอน เขาได้นำหน่วยคอมแมนโดกล้าตายของอิสราเอลบุกเข้าไปในเบรุตซึ่งที่นั่นเข้าได้สังหารนายคามาล เอ็ดวานนักเขียนชาวปาเลสไตน์ด้วยตัวเองในตอนกลางคืนโดยการใช้ปืนเก็บเสียงในขณะที่เขานอนหลับอยู่บนเตียง เมื่อนายเอฮุด บารัคได้รับการเลือกตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีใหม่ๆ เขาได้มาที่นิวยอร์คและวอชิงตัน หนังสือพิมพ์ที่ถูกพวกยิวควบคุมได้ปฏิบัติต่อฆาตกรคนนี้เหมือนกับว่าเขาเป็นวีรบุรุษผู้พิชิต
มาตรฐานสองอย่างยังไม่เคยจบ เมื่อนายเรชาวาม ซีวี รัฐมนตรีคนหนึ่งของอิสราเอลถูกลอบสังหารโดยชาวปาเลสไตน์ในเดือนตุลาคม 2001 นายชารอนและเจ้าหน้าที่สหรัฐบางคนได้ประณามว่ามันเป็น “การก่อการร้าย” ถ้าหากว่าการยิงนายซีวีเป็นการก่อการร้ายจริงๆ เราจะเรียกการที่พวกอิสราเอลลอบสังหารนักการเมืองชาวปาเลสไตน์นับร้อยคนว่าอะไร นักปรัชญา นักบวชหรือว่ากวี ? ทำไมหนังสือพิมพ์ไม่ชี้ออกมาว่านายซีวีเองก็พวกยิวสุดโต่งที่กล่าวว่าชาวปาเลสไตน์ที่อาศัยและทำงานอยู่อย่างผิดกฎหมายในอิสราเอลเป็นเสมือน“ตัวหมัด”และ “มะเร็งท่ามกลางพวกเรา”(14) นายซีวีเองก็เป็นผู้ก่อการร้ายคนหนึ่งที่สนับสนุนการขับไล่ชาวปาเลสไตน์ทั้งหมดออกไปจากเขตยึดครองและการลอบสังหารผู้ที่ต่อต้านการยึดครองของอิสราเอล เขาเคยเรียกร้องแม้กระทั่งให้ลอบสังหารนายยัสเซอร์ อารฟัต แต่หนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันก็ยังเรียกการลอบสังหารเขาว่า “การก่อการร้าย” ไม่เคยเรียกนายซีวีที่นิยมการลอบสังหารว่าผู้ก่อการร้ายหรือผู้นิยมอำนาจชาวยิว การลอบสังหารนายซีวีเองนั้นเป็นการโต้ตอบโดยตรงต่อการที่พวกอิสราเอลได้ลอบสังหารผู้นำชาวปาเลสไตน์ก่อนหน้านี้ไม่กี่สัปดาห์
ในปี 1991 ในการประชุมคณะรัฐมนตรีของอิสราเอล นายซีวีได้กล่าวว่าประธานาธิบดียอร์จ บุชซึ่งกดดันอิสราเอลให้เจรจาสันติภาพเป็น “ศัตรูของอิสราเอล” และกล่าวว่า “อเมริกากำลังวางแผนที่จะให้เกิดโฮโลคอสต์ครั้งที่สองขึ้น” (15) ด้วย “พันธมิตร” เยี่ยงนี้ อเมริกาต้องการศัตรูใดๆอีกหรือ ?
อำนาจของพวกยิวในสื่อของโลกได้ทำให้หลายคนมองเห็นความเหี้ยมโหดในการลอบสังหารของพวกอิสราเอลได้ไม่เต็มที่ ความจริงแล้ว แม้แต่ก่อนการโจมตีตึกเวิร์ลเทรดในเดือนกันยายน บีบีซีได้สั่งผู้สื่อข่าวของตนให้เรียกการลอบสังหารศัตรูของอิสราเอลว่า “การฆ่าที่ได้ถูกกำหนดเป้าหมายไว้แล้ว” มากกว่าที่จะเรียกว่ามันคือการลอบสังหาร (16) อย่างไรก็ตาม บีบีซี(ซึ่งมีฝ่ายบริหารเป็นยิวจำนวนมาก)ได้พูดถึงการฆ่านายซีวีว่าเป็นการลอบสังหารและมิใช่ “การฆ่าที่ได้ถูกกำหนดเป้าหมายไว้แล้ว” ประชาชนต้องตกอยู่ใต้อิทธิพลของสื่อที่ถูกบิดเบือนของอิสราเอลมาเป็นเวลาหลายปี มันจึงไม่น่าประหลาดใจที่ชาวอังกฤษและแม้แต่ชาวอเมริกาน้อยคนจะรู้ถึงเรื่องราวการก่อการร้ายของอิสราเอล ด้วยเหตุผลนี้เองที่ผมไม่อาจตำหนิชาวอเมริกันส่วนใหญ่ที่ไม่รู้เรื่องการก่อการร้ายของอิสราเอล
การทรมานอันน่าสยองของพวกอิสราเอล
การทรมานอันโหดเหี้ยมทารุณศัตรูนับพันคนของคนหนึ่งคนใดนั้นจะต้องพิจารณากันที่รูปแบบอันชั่วร้ายของการกระทำอันน่าสะพรึงกลัว ชาวปาเลสไตน์นับหมื่นคนได้ถูกทรมานในคุกของอิสราเอล กลุ่มสิทธิมนุษยชนชาวยิวในอิสราเอลได้ยืนยันไว้ในรายงานซึ่งมีความหนา 60 หน้าว่า 85% ของชาวปาเลสไตน์ที่ถูกกักกันต้องถูกทรมานในขณะที่ถูกกักตัว (17) และการทรมานที่เหยื่อชาวปาเลสไตน์เหล่านี้ได้รับก็คือฝันร้ายที่เลวที่สุดอย่างหนึ่งของพวกเขา การทรมานของพวกอิสราเอลนั้นมีตั้งแต่การเอาปัสสาวะราดตัวเหยื่อและเอาถุงอุจจาระที่เปียกผูกไว้เหนือหัวของพวกเขาไปจนกระทั่งการใช้กระบองไฟฟ้าจี้ อิสราเอลมักจะไม่ยอมบอกว่าตัวเองได้จับตัวใครไว้ ดังนั้น ถ้าหากพวกเขาจะตัดสินใจฆ่าหรือทรมานชาวปาเลสไตน์คนใดจนกระทั่งตายในขณะที่ถูกจับกุมคุมขัง ร่างกายของเขาก็จะหายไปหรือไม่ต่อมาพวกเขาก็จะอ้างว่าคนเหล่านั้นเสียชีวิตในการต่อสู้กับตำรวจก่อนการจับกุม ชาวปาเลสไตน์และชาวเลบานอนหลายพันคนได้เสียชีวิตไปในขณะที่ถูกพวกอิสราเอลจับกุมคุมขัง
บทความโดยนายโจเอล กรีนเบิร์กในนิตยสารนิวยอร์คไทม์สซึ่งโปรอิสราเอลได้พูดถึงความจริงว่าอิสราเอลได้ทรมานชาวปาเลสไตน์ 500-600 คนทุกเดือน (18) ตัวเลขดังกล่าวซึ่งอาจจะต่ำเกินไปเพราะมันมาจากนิตยสารนิวยอร์คไทม์สซึ่งนิยมอิสราเอลหมายความว่าในแต่ละปีจะต้องมีชาวปาเลสไตน์อย่างน้อยที่สุด 6,000 คนถูกทรมานในอิสราเอล การทรมานชาวปาเลสไตน์ในอิสราเอลได้ดำเนินมาตั้งแต่ปี 1948 (จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 53 ปีแล้ว) ถ้าหากใครใช้ตัวเลขแค่เพียงครึ่งหนึ่งของจำนวนชาวปาเลสไตน์ที่นายกรีนเบิร์กกล่าวว่าถูกทรมานทุกปี อย่างน้อยที่สุดก็มีมนุษย์ 150,000 คนได้ถูกทรมานอยู่ในคุกอิสราเอลนับตั้งแต่รัฐยิวถูกก่อตั้งขึ้นมา
เมื่ออิสราเอลเผชิญกับปัญหาภาพพจน์อันเนื่องมาจากการทรมานโดยถูกกฎหมายดังกล่าว ในปี 1999 ศาลสูงของอิสราเอลก็ได้ทำทีเป็นออกกฎว่าการทรมานดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในบางครั้ง แต่อิสราเอลและกลุ่มสิทธิชาวปาเลสไตน์ก็ได้เสนอหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่ากฎดังกล่าวเป็นแค่เพียงการประชาสัมพันธ์ฉาบหน้าเท่านั้น พวกเขาได้แสดงหลักฐานว่าการทรมานยังคงดำเนินอยู่เหมือนกับก่อนที่กฎนี้จะออกมา (19)
เพื่อเป็นการทำตามอิสราเอล ในขณะนี้นักหนังสือพิมพ์ชาวยิวกำลังสนับสนุนให้มีการใช้วิธีการทรมานในอเมริกา เมื่อเร็วๆนี้นิตยสารนิวสวีคฉบับหนึ่งได้พาดหัวบทความที่มีชื่อว่า “ถึงเวลาที่จะคิดถึงการทรมาน มันเป็นโลกใหม่ และการอยู่รอดอาจจะต้องการเทคนิคเก่าที่ดูเหมือนว่ามีปัญหา” (20) แม้แต่วีรบุรุษแห่งเสรีภาพประชาชนชาวยิวอย่างอลัน เดอร์โชวิทซ์ก็ยังให้การสนับสนุนในขณะนี้ (21)
วิคเตอร์ ออสโตรฟสกี้ อดีตสายลับมอสสาดได้เขียนหนังสือสองเล่มเกี่ยวกับความโหดเหี้ยมของอิสราเอลต่อศัตรู ในหนังสือเล่มหนึ่ง เขาได้พูดถึงชะตากรรมของชาวปาเลสไตน์ที่ข้ามพรมแดนอย่างผิดกฎหมายเข้ามาหางานทำในอิสราเอล คนหนุ่มหลายพันคนเหล่านี้ไม่เคยมีใครได้ยินข่าวของพวกเขาอีกเลยหลังจากที่ถูกทหารของอิสราเอลจับกุมตัวไป บางคนได้ถูกนำตัวไปทดลองในการศึกษาค้นคว้าเอบีซีซึ่งที่นั่นพวกเขาต้องทนทรมานอย่างไม่อาจอธิบายได้ในการทดลองทางสงครามเคมี นิวเคลียร์หรือสงครามชีวภาพ
เอบีซี (ABC) เป็นคำย่อของคำว่า “อะตอมิค แบคทีเรียและเคมี” ที่นั่น นักวิทยาศาสตร์ทางด้านระบาดวิทยากำลังพัฒนาเครื่องมือสร้างความหายนะอย่างมหันต์ต่างๆอยู่…ถ้าหากว่ามีสงครามเบ็ดเสร็จขึ้นมาซึ่งจำเป็นต้องใช้อาวุธชนิดนี้ มันก็จะไม่มีช่องว่างสำหรับความผิดพลาด ผู้แทรกซึมชาวปาเลสไตน์เป็นสิ่งทดลองในเรื่องนี้อยู่แล้ว ในฐานะคนพวกนี้เป็นหนูทดลองยา พวกเขาสามารถให้ความมั่นใจได้ว่าอาวุธที่นักวิทยาศาสตร์กำลังพัฒนาอยู่นี้จะทำงานอย่างได้ผลและสามารถยืนยันได้ว่ามันทำงานได้เร็วขนาดไหนและมันมีประสิทธิภาพเพียงใด (22)
ที่มา : โดย เดวิด ดุค ประธานแห่งชาติ องค์การเอกภาพและสิทธิยุโรป-อเมริกา แปลโดย บรรจง บินกาซัน Source: Thaimuslimshop.com , Davidduke.com