ปฏิบัติการถล่มตึกเวิลด์เทรด เซ็นเตอร์ ด้วยการใช้เครี่องบินโดยสารพุ่งชนเมื่อวันที่ 11 กันยายน ค.ศ. 2001 ถือเป็นเหตุการณ์ช็อกโลกในปีแรกของศตวรรษที่ 21 และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โลกคุกรุ่นด้วยสงครามและการก่อการร้ายที่ดูเหมือนจะหาจุดจบได้ยาก
แม้เวลาจะผ่านมา5ปีแล้ว แต่เมื่อวันที่11กันยายนเวียนมาบรรจบครั้งใด สื่อมวลชนทั้งหลายก็ยังคงนำเรื่องราวมาย้อนรำลึกให้นึกถึงมันด้วยมุมมองต่างดังนั้นผู้เขียนจึงของใช้หน้ากระดาษตรงนี้ย้อนรำลึกถึงเหตุการณ์ต่างกับเขาบ้าง
เชื่อว่าทุกคนยังคงจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดีหลังจากตึกเวิลด์เทรดได้ถล่มลงได้2วัน ยังไม่ทันที่โลกจะหายตกตะลึงและยังมิทันที่หน่วยกู้ภัยจะค้นหาศพของผู้เคราะห์ร้ายได้ทั้งหมดประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู บุช ก็หลุดคำว่า “สงครามครูเสด” ออกมา จนที่ปรึกษาต้องออกมาแก้ตัวให้เป็นพัลวัน หลังจากนั้นเขาก็ตั้งศาลเตี้ยประกาศคำตัดสินโดยที่ไม่ได้ไต่สวนออกมาทันทีว่าผู้บงการถล่มตึกเวิลด์เทรดคือ อุซามะห์ บินลาดิน หัวหน้าขบวนการอัลกออิดะห์ ราวกับว่าตัวเองรู้เรื่องนี้ก่อนแล้ว และยังมิทันที่กระบวนการยุติธรรมจะเริ่มต้น ประธานนาธิบดีบุชก็ประกาศกร้าวแทนศาลว่าเมื่อสหรัฐไม่สามารถนำตัวผู้บงการมารับความยุติธรรมในสหรัฐได้ สหรัฐก็จะนำความยุติธรรมไปให้ผู้บงการเอง
แต่ความยุติธรรมที่ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ส่งไปในรูปของระเบิด ขีปนาวุธและลูกปืนนับหมื่นลูกนั้นมิได้ไปถึงอุซามะห์ บินลาดินหากแต่มันไปถึงเด็ก ผู้หญิงคนแก่และผู้บริสุทธิ์ในอัฟกานิสถาน ผู้บริสุทธิ์ จนต้องได้รับบาดเจ็บและล้มตายนับหมื่นคนและอีกหลายร้อยคนถึงจบขังคุกโดยไม่มีข้อกล่าวหา 
ถ้าอุซามะห์บินลาดิน ทำผิด เขาก็สมควรที่จะถูกลงโทษ และโทษของเขาตามหลักศาสนาอิสลามก็คือประหารสถานเดียว แต่การสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ด้วยอาวุธสงครามของประธานาธิบดีสหรัฐนั้น กฎหมายสากลเรียกว่า “อาชญากรรมสงคราม”
ชาวโลกโดยเฉพาะคนอเมริกันอาจรู้สึกอกสันขวัญแขวนที่สหรัฐอเมริกาถูกโจมตีกลางกรุงนิวยอร์กแต่ถ้าหากใครได้ศึกษาประวัติศาสตร์ก็จะรู้ได้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สหรัฐถูกโจมตี เพราะในอดีตสหรัฐเคยถูกโจมตีมาแล้ว แต่เป้าหมายของการโจมตีครั้งนั้นมิใช่ตัวอาคารในเมือง หากแต่เป็นเรือรบลิเบอร์ตี้ของสหรัฐในท้องทะเลเมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1967 ระหว่างที่อิสราเอลกำลังทำสงครามกับอาหรับในสงครามหกวัน
การโจมตีครั้งนั้นทำให้ลูกเรืออเมริกันเสียชีวิต 34 คน และบาดเจ็บอีก 141 คน ทำให้กองทัพเรือ อเมริกันยังคงเจ็บปวดมาจนถึงทุกวันนี้ แต่คนอเมริกันจะตกใจมากกว่านั้นอีกหากได้รู้ว่าผู้โจมตีเรือรบ สหรัฐในครั้งนั้นคือ อิสราเอลที่สหรัฐให้การสนับสนุนทั้งทางด้านการเงินแล้วการทหารมาตลอดโดยภาษีของชาวอเมริกันเอง วัตถุประสงค์ของการโจมตีเรือรบสหรัฐในครั้งนั้นก็เพื่อที่จะโยนความผิดไปให้อียิปต์และดึงให้สหรัฐเข้าไปทำสงครามกับอียิปต์แต่แผนการร้ายของอิสราเอลครั้งนั้นต้องล้มเหลวเพราะเรือรบลิเบอร์ตี้ได้รับความช่วยเหลือเสียก่อน
เหตุการณ์เขย่าขวัญในสหรัฐอย่างกรณีการโจมตีตึกเวิลด์เทรดมีสิ่งบอกเหตุมาก่อนแล้วถ้าใครติดตามข่าวสารเหตุกาโลกมาโดยตลอดก็จะคงพอจำได้ว่าวันที่11กันยายน ค.ศ. 1994 สื่อมวลชนของสหรัฐได้รายงานว่าในแฟรงค์ ยูยีน คอเดอร์ ได้ขโมยเครื่องบินลำเล็ก เซสน่า 150L จากสนามบินแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของบัลติมอร์แล้วบินตรงไปยังสนามหญ้าทางตอนใต้ของทำเนียบขาว หลังจากนั้นก็ลดเพดานบินลงต่ำเรี่ยพื้นจนไถ่ต้นไม้และสนามหญ้าพุ่งเข้าไปชนกำแพงใต้ห้องนอนของประธานาธิบดีสหรัฐ ถึงแม้จะกูสฑของนายแฟรงค์ขึ้นมาได้จากซากเครื่องบินอย่างทุลักทุเล แต่ก็มิได้มีการชันสูตรศพของเขาว่าเขาเสียชีวิตแล้วในขณะพุ่งชนหรือก่อนหน้านั้นไม่มี
ใครรู้เห็นเป็นพยานว่า นายแฟรงค์ขึ้นเครื่องบิน หรือ ขโมยเครื่องบินลำนี้มา และเขาก็ไม่ได้ทำการติดต่อหอบังคับการบิน หรือกับใคร
กระแสความเชื่อของคนอเมริกันที่จดจำเหตุการณ์ครั้งนั้นเชื่อว่า นาย
แฟรงค์ คอร์เดอร์
ปฏิบัติการครั้งนั้นในขณะที่เขาเป็น “ผี” นั่นคือ เขาตายก่อนที่เครื่องบินจะออกจากสนามบินในแมรีแลนด์เสียอีก?
เป็นไปได้อย่างไรที่คนตายจะขับเครื่องบิน?
ก็โดยการใช้รีโมตคอนโทรลหรือการควบคุมด้วยสัญญาณวิทยุจากทางไกลไงล่ะครับ
ความพยายามที่จะหาวิธีควบคุมเครื่องบินขนาดใหญ่จากระยะไกลเหมือนกับการควบคุมเครื่องบินเด็กเล่นได้เริ่มมีมานานแล้ว ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ของกองทัพในการทำสงคราม และในยามสันติ อย่างน้อยมันก็มีประโยชน์ในการกู้เครื่องบินโดยสารที่ถูกสลัดจี้ ความพยายามดังกล่าวนี้เกิดขึ้นจากการร่วมมือของหน่วยประเมินและศึกษาค้นคว้าทางด้านทหาร (Defense Evaluation and Research Agency) ของอังกฤษ ซึ่งมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสำนักงานโครงการศึกษามีใจความก้าวหน้าทางด้านการทหาร (Defense Advanced Research Projects Agency) ของสหรัฐ
การนำเครื่องบินขึ้นจากลานบินโดยใช้เครื่องควบคุมจากทางไกลเริ่มมีขึ้นครั้งแรกในวันที่ 17 มกราคม ค.ศ.1955 และได้ถูกพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆจนกระทั้งในปัจจุบันสหรัฐสามารถนำระบบควบคุมนี้มาใช้กับเครื่องบินจรกรรม “โกลบอล ฮอว์ค” ที่มีความกว้างของปีกเท่ากับเครื่องบินโบอิ้ง 767 ที่พุ่งชนตึกเวิลด์เทรดในนิวยอร์กเมื่อวันที่ 11 กันยายน
กองทัพอากาศสหรัฐได้เรียกที่ไม่ต้องใช้คนขับนี้ว่า “นุลโล” (NULLO ซึ้งย่อมาจาก Not Utilizing Local Live Operator) ในขณะที่ราชนาวีสหรัฐเรียกว่า “โนโล” (NOLO ซึ่งย่อมาจากคำว่า No Onboard Live Operator)
ถ้าขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยีของสหรัฐก้าวหน้าถึงขนาดนั้น ใครก็มีสิทธิ์ คิดได้เหมือนกันว่าเครื่องบินเล็กที่พุ่งชนทำเนียบขาวเมื่อวันที่ 11 กันยายน 1994 อาจเป็นการทดลองใช้ระบบควบคุมการบินจากระยะไกลดังกล่าว
ความคิดเช่นนี้ดูมีเหตุผลมากกว่าความคิดของผู้นำรัฐบาลสหรัฐที่ออกมาใส่ร้ายป้ายสีว่าเป็นฝีมือว่าเป็นฝีมือของผู้ก่อกี่ร้ายชาวอาหรับ ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นได้ไปเรียนการขับเครื่องบิน แต่ครูฝึกระบุในใบรายงานผลการฝึกว่าไม่มีทักษะพอที่จะบินได้
อาจจะเป็นเพราะสาเหตุนี้กระมังที่หลังจากเหตุการณ์โจมตีตกเวิลด์เทรดได้ประมาณ4เดือนก็มีข่าวช็อกคาวมรู้สึกของชาวอเมริกันขึ้นมาอีกข่าวหนึ่ง นั่นคือข่าวเด็กชายอเมริกันชื่อ ชาร์ลส บิชอพ วัย15ปี ขโมยเครื่องบินเล็กเซสนา 172R ในฟลอริดาขึ้นบินแล้วฆ่าตัวตายด้วยการพุ่งชนตึกธนาคารอเมริกาในเมืองแทมปาเมื่อวันที่ 5 มกราคม 2002 โดยที่ไม่มีใครเห็นเด็กคนนี้ขึ้นเครื่องบินหรือขโมยเครื่องบิน เช่นเดียวกับกรณีของนาย
แฟรงค์ คอร์เดอร์
และในระหว่างที่บินอยู่นั้น หนูน้อยบิชอพก็ไม่ได้ติดต่อกับหอบังคับการบินหรือกับผู้ใดด้วยเช่นกัน
แต่เหตุการณ์ครั้งหลังนี้มีตัวบ่งชี้ที่บอกได้ว่า เด็กคนนี้ได้เสียชีวิตก่อนที่เครื่องบินของเขาจะพุ่งชนตึกธนาคารแห่งอเมริกา เพราะเฮลิคอปเตอร์ยามฝั่งลำหนึ่งซึ่งลาดตระเวนอยู่แถวนั้นได้พยายามบินขนาบไปกับเครื่องบินเล็กลำนั้นเพื่อบังคับให้นักบินนำเครื่องบินลงจอด แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ นักบินเฮลิคอปเตอร์ได้กล่าวว่า “เขา (บิชอพ) นั่งนิ่งไม่ไหวติงที่คันบังคับ เขาไม่มองมาที่เฮลิคอปเตอร์ และไม่ตอบวิทยุหรือสัญญาณมือที่บอกให้เขาเอาเครื่องบินลงแต่ประการใด”
หลังจากเครื่องบินพุ่งชนตึกธนาคารแห่งอเมริกาได้มีการพบกระดาษชิ้นหนึ่งซึ่งเขียน สดุดีวีรกรรมของ อุซามะห์ บินลาดิน ในตัวของเด็กชายคนนั้น เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจว่าเด็กคนนี้หลงใหล ในตัวของผู้ที่ผู้นำ สหรัฐออกมากล่าวหาว่า เป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลัง การวางแผนโจมตี ตึกเวิลด์เทรด หลังจากเกิดเหตุการณ์ได้ไม่กี่ชั่วโมงแต่ความจริงแล้วผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมที่แท้จริงในสหรัฐต้องการก็คือ ดูสินี้ไงเด็กอายุ15ปียังขับเครื่องบินพุ่งชนตึกได้แล้วทำไมพวกผู้ก่อการร้ายอาหรับจะขับเครื่องบินพุ่งชนตึกเวิร์ดเทรดไม่ได้
หลังควันและฝุ่นจากตึกถล่มจางลงนักสังเกตการณ์โดยเฉพาะบรรดาวิศวกรต่างตั้งข้อสงสัยและข้อสังเกตที่ทำให้เราได้กลิ่นทะแม่งๆมากมายเช่น
1) ภาพเครื่องบินที่พุ่งชนตึกในมุมต่างๆถูกบันทึกไว้เหมือนมีการเตรียมถ่ายทำไว้อย่างดีเพราะโดยปรกติแล้วไม่มีใครที่ไหนคิดจะเตรียมกล้องไว้ถ่ายภาพเครื่องบินบนท้องฟ้าที่มีนับร้อยเที่ยวบินในแต่ละวัน และหลังจากเครื่องบินพุ่งชนตึกก็มีคนเห็นกลุ่มหนึ่งกระโดดโลดเต้นบนดาดฟ้าของตึกแห่งหนึ่งเหมือนกับดีใจที่ทำงานอะไรสักอย่างเป็นผลสำเร็จ
2) เครื่องบินโดยสารที่พุ่งชนตึกบินออกมานอกเส้นทาง ซึ่งกองทัพอากาศสหรัฐสามารถดักสกัดได้แต่ทำไมกลับไม่มีการบินขึ้นสกัด
3) อุณหภูมิความร้อนจากไฟน้ำมันเครื่องบินที่พุ่งชนตึกไม่ร้อนพอที่จะละลายเหล็กในตึกให้พังทลายได้แต่ทำไมตึกสองตึกถล่มมาเหมือนกับการทำลายตึกด้วยระเบิดอย่างมืออาชีพ
ที่สำคัญก็คือเครื่องบินพุ่งชนตึกสองหลัง แต่ตึก7ที่อยู่ใกล้ๆกันก็พังลงมาในลักษณะเดียวกันและ
วิศกรเยอรมันคนหนึ่งพบว่าเหล็กโคนเสาของตึก 7 ขนาดโดนระเบิดด้วยเทอร์ไมท์ซึ่งเป็นวัตถุที่ถูกใช้ในการระเบิดตึก
4) ทำไมชาวยิวประมาณสามพันคนที่ทำงานอยู่ในตึกที่ถล่มจึงถูกแจ้งล่วงหน้ามิให้ไปทำงานในวันเกิดเหตุการณ์
และอื่นๆอีกสารพัดข้อสงสัย
แต่หลังเหตุการณ์วันนั้นคำว่า ลัทธิก่อการร้าย มุสลิมหัวรุนแรงลัทธิคลั่งศาสนาอักษะแห่งความชั่วร้าย และอื่นๆ ดูเหมือนผิดถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นเหตูผลสำหรับนายจอร์ช บุชในการส่งกำลังทหารไปโจมตีรุกรานประเทศอัฟกานิสถาน อิรัก และต่อไปก็จะเป็นอิหร่านและซีเรียเหมือนกับที่รัฐบาลสหรัฐในอดีตเคยใช้คำว่า ลัทธิคอมมิวนิสต์ เป็นข้ออ้างในการส่งทหารไปเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ในเวียดนามและเขมร
ขณะเดียวกันคำว่า ลัทธิการก่อการร้ายเว้นซึ่งรัฐบาลสหรัฐยังไม่ยอมลงนามให้สัตยาบันในคำนิยามได้ทำให้ประชาชนต้องเสียภาษีให้รัฐบาลเพิ่มขึ้นเพื่อนนำไปใช้ในการป้องกันประเทศสงครามต่อต้านการก่อการร้ายได้ทำให้อเมริกันนับหมื่นคนต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บโดยไม่มีเหตุผล พร้อมกับที่คนบริสุทธิ์ในอัฟกานิสถานและในอิรักทหารอเมริกันหลายสิบคนฆ่าตัวตายและหลายคนหนีออกนอกประเทศเพื่อหลีกเหลี่ยงการไปปฏิบัติการทหาร ขณะอเมริกันทั้งเสียและถูกรุกกล้ำเสรีภาพอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน
ห้าปีผ่านไปแล้ว รัฐบาลสหรัฐยังหาตัวอุซามะห์ บิน ลาดิน ผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นหัวหน้าก่อการร้าย แต่คำว่า ลัทธิก่อการร้าย ได้ถูกประธานาธิปดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชใช้เป็นข้ออ้างใช้เป็นสงครามโจมตีอิรักและคงกำลังทหารไว้ในตะวันออกกลาง สนับสนุนอิสราเอลโจมตีเลบานอนครั้งล่าสุดและเตรียมตัวที่จะโจมตีอิหร่านและซีเรียต่อไป
การก่อการร้ายที่ทำให้ชาวโลกอกสั่นขวัญแขวนไปทั่วคงจะไม่มีวันสิ้นสุดลง ถ้ารัฐผู้ก่อการร้ายตัวจริงยังคนก่อการร้าย และผู้ต่อต้านรัฐผู้ก่อการร้ายถูกเรียกว่า ผู้ก่อการร้าย
โดย อ.บรรจง บินกาซัน คัดลอกจาก ไทยมุสลิมช็อป